'การเมือง-เศรษฐกิจ'ประชิดรัฐบาล : ขยายปมร้อน โดยศรุติ ศรุตา
ถึงแม้ นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รมต.ประจำสำนักนายกฯ จะบอกทำนองว่า ยังไม่มีกระแสข่าวการปรับ ครม.ในช่วงนี้ แต่ข่าวการปรับ ครม.ก็ดังกระหึ่ม
นั่นเพราะห้วงเวลาหรือ "เทอม" ของรัฐมนตรีที่สัญญาเอาไว้คร่าวๆ ว่า 6 เดือน 1 ปีที่ว่า ปลายมิถุนายน ถึงต้นกรกฎาคม มันครบพอดิบพอดี
จังหวะเดียวกับ 2 รัฐมนตรี "สายแข็ง" แต่ทำหน้าที่ชี้แจงเรื่องโครงการรับจำนำข้าวแทนรัฐบาลโดนนักข่าวสายกระทรวง พาณิชย์ "ไล่เบี้ย" เอาแทบจนกลางกระดานนั้น ให้ใครประเมินตามเนื้อผ้า ก็คงไม่มีใครกล้าวางเดิมพัน
จะว่าไปโครงการรับจำนำข้าวที่รัฐบาลทุ่มเงินไปกว่า 6 แสนล้านบาท ฝ่ายค้านเคยยกเป็นประเด็นซักฟอกรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์มาแล้ว
ขนาดอภิปรายกฎหมายงบประมาณก็ยังอุตส่าห์หาประเด็นมาเชือดนิ่มๆ
แต่ก็นั่นแหละ ฝ่ายค้านมีเพียงแค่กระหยิบมือ ต่อให้พูดให้ตายในสภายกมือโหวตเมื่อไหร่ก็ได้แต่ทำตาปริบๆ
กระทั่ง มูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิซ เขาประเมินโครงการนี้ว่าจะขาดทุนยับเท่านั้นแหละ รัฐบาลก็เต้นเป็นเจ้าเข้า
ก็เพราะมูดีส์ ไม่ใช่คนไทย เป็นบริษัทฝรั่งมังค่าไม่เกี่ยวอะไรกับหน้ากากขาว หน้ากากแดงในเมืองไทย เวลาเขามองก็มีการจัดเก็บข้อมูลชัดเจนน่าเชื่อถือ พอเขาประเมินออกมาก็ได้แต่บอกว่า ได้ข้อมูลผิดๆ แต่ไม่ยักจะบอกว่าที่ถูกคืออะไร
การประเมินของบริษัทระดับโลกเช่นนี้ ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อความน่าเชื่อถือ กระทบเครดิตของรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะนี่คือนโยบายที่รัฐบาลนี้ภูมิใจนำเสนอมาตั้งแต่ต้น
เมื่อมาประกอบกับการชี้แจงของ 2 รัฐมนตรีพาณิชย์ และอีก 1 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ที่ผ่านศึกในสภามาอย่างโชกโชน แต่กลับไม่ผ่านด่านนักข่าวที่กระทรวงพาณิชย์ ตอบไม่ได้ว่าขาดทุน-กำไรเท่าไหร่ ก็เลยสร้างความเสียหายให้แก่รัฐบาลหนักเข้าไปอีก
นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถึงขั้นสั่งเปลี่ยนตัวคนชี้แจงใหม่เป็น วราเทพ รัตนากร รมต.ประจำสำนักนายกฯ แทนรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง
คนก็เลยคิดได้ว่า เป็นรัฐมนตรีพาณิชย์แต่ไม่ได้พูดเรื่องค้าขายข้าวก็ไม่รู้จะเป็นไปทำไม
แต่การจะเปลี่ยนรัฐมนตรีสายแข็งอย่างนี้ ใช่ว่าจะทำกันได้ง่ายๆ
ยิ่งในวันนี้ เจ๊แดง-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ เข้ามานั่งในสภาแล้วเรื่องราวก็คงจะยุ่งไม่ใช่เล่น
อีกรายหรือก็มาจากโควตาคนเสื้อแดง การจะปรับเปลี่ยนอย่างไรก็ต้องคำนึงด้วยว่า ถ้าเอาคนนี้ออกแล้วจะเอาอีกคนมาเรียกแขกแทนในสภาพรัฐบาลที่เป๋ไป เป๋มาอย่างนี้มันไม่ใช่เรื่องที่จะเหตุมาเพิ่ม
แต่แรงกดดันก็ใช่ว่าจะไม่มีต่อเนื่อง เพราะสภาพเศรษฐกิจภายหลังลดดอกเบี้ยลง 0.25% แล้วความเสี่ยงที่จะเกิดกับภาคอสังหาริมทรัพย์ก็พุ่งเข้ามาทันที
ที่ก่อนหน้านี้เกรงๆ กันว่า จะเกิดฟองสบู่ในภาคอสังหาฯ ตอนนี้ก็เริ่มกลัวกันอย่างจริงจัง
ในขณะที่บ้านและคอนโดมิเนียมนั้นมีอยู่มากกว่าความต้องการ เมื่อดอกเบี้ยลดก็จะไปกระตุ้นแรงซื้อ แต่มันไม่สอดคล้องก็คือ ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวนั้นมีแต่จะไปเพิ่มกำลังซื้อที่ไม่ยั่งยืนให้เกิด ขึ้น
เมื่อภาวะความเสี่ยงของเศรษฐกิจเริ่มรุมเร้า มาประกอบกับการแสดงความสามารถของรัฐมนตรีที่รัฐบาลบอกว่า "เลือก" แล้ว แต่ผลกลับเป็นตรงกันข้าม มันก็ยิ่งไปกันใหญ่
ยิ่งตอกย้ำว่า การเลือกคนเข้ามานั้นไม่จำเป็นต้องให้ตรงกับงาน หากแต่ให้ตรงกับโควตาว่าเป็นคนของสายใคร
สุดท้ายก็ต้องมาแก้ปัญหาเอารัฐมนตรีที่กำกับดูแลงานอื่นอยู่มาช่วยแก้ต่าง ให้ ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าจะแก้อย่างไร ในเมื่อผู้คนต้องการที่จะรู้ความจริงว่า โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลนั้นมาถึงวันนี้ เสียหาย หรือเจ๊งไปแล้วเท่าไหร่แล้ว
ปรากฏการณ์หน้ากากขาวที่ใครๆ ต่างก็พูดตรงกันแล้วว่า "จุดติด" เพราะผุดเป็นดอกเห็ดทั่วประเทศในวันที่นัดชุมนุมนั้น เกิดมาตรงจังหวะที่ "ความเชื่อมั่น" ของรัฐบาลซวนทรุดจากความไม่ชัดเจนในโครงการรับจำนำข้าว
งานนี้อย่าว่าแต่ นายกฯ ยิ่งลักษณ์เลย แม้แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ยังปวดหัว !
ถึงแม้กรรมการยุทธศาสตร์จะประเมินแล้วว่า ถึงอย่างไรเสียงข้างมากก็ยังได้เปรียบในสภา แต่ก็ยังมีความกังวลว่า ด้านนอกสภา มีหน้ากากขาวพรึ่บทุกวันหยุดนั้น จะทำอย่างไร
เพราะรู้อยู่แล้วว่า คนเหล่านั้นคือ "ของจริง" ที่ชิงชังการบริหารประเทศของรัฐบาลยิ่งลักษณ์
นั่นอาจเป็นที่มาของการเร่งฟื้นกลุ่มก้อนคนเสื้อแดงในพื้นที่ต่างๆ
แต่คงไม่ถึงขั้นเอามาชนกับหน้ากากขาว เพียงแต่การเร่งฟื้นความสัมพันธ์นั้นเป็นการเตรียมพร้อมว่าหากเกิดมี อุบัติเหตุ หรือหากจำเป็นต้องคืนสิทธิให้แก่ประชาชนได้เลือกตั้ง
แรงกดดันทั้งเศรษฐกิจทั้งการเมืองรุกไล่รัฐบาลจนใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
ถึงแม้ นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รมต.ประจำสำนักนายกฯ จะบอกทำนองว่า ยังไม่มีกระแสข่าวการปรับ ครม.ในช่วงนี้ แต่ข่าวการปรับ ครม.ก็ดังกระหึ่ม นั่นเพราะห้วงเวลาหรือ "เทอม" ของรัฐมนตรีที่สัญญาเอาไว้คร่าวๆ ว่า 6 เดือน 1 ปีที่ว่า ปลายมิถุนายน ถึงต้นกรกฎาคม มันครบพอดิบพอดี จังหวะเดียวกับ 2 รัฐมนตรี "สายแข็ง" แต่ทำหน้าที่ชี้แจงเรื่องโครงการรับจำนำข้าวแทนรัฐบาลโดนนักข่าวสายกระทรวง พาณิชย์ "ไล่เบี้ย" เอาแทบจนกลางกระดานนั้น ให้ใครประเมินตามเนื้อผ้า ก็คงไม่มีใครกล้าวางเดิมพัน จะว่าไปโครงการรับจำนำข้าวที่รัฐบาลทุ่มเงินไปกว่า 6 แสนล้านบาท ฝ่ายค้านเคยยกเป็นประเด็นซักฟอกรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์มาแล้ว ขนาดอภิปรายกฎหมายงบประมาณก็ยังอุตส่าห์หาประเด็นมาเชือดนิ่มๆ แต่ก็นั่นแหละ ฝ่ายค้านมีเพียงแค่กระหยิบมือ ต่อให้พูดให้ตายในสภายกมือโหวตเมื่อไหร่ก็ได้แต่ทำตาปริบๆ กระทั่ง มูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิซ เขาประเมินโครงการนี้ว่าจะขาดทุนยับเท่านั้นแหละ รัฐบาลก็เต้นเป็นเจ้าเข้า ก็เพราะมูดีส์ ไม่ใช่คนไทย เป็นบริษัทฝรั่งมังค่าไม่เกี่ยวอะไรกับหน้ากากขาว หน้ากากแดงในเมืองไทย เวลาเขามองก็มีการจัดเก็บข้อมูลชัดเจนน่าเชื่อถือ พอเขาประเมินออกมาก็ได้แต่บอกว่า ได้ข้อมูลผิดๆ แต่ไม่ยักจะบอกว่าที่ถูกคืออะไร การประเมินของบริษัทระดับโลกเช่นนี้ ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อความน่าเชื่อถือ กระทบเครดิตของรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะนี่คือนโยบายที่รัฐบาลนี้ภูมิใจนำเสนอมาตั้งแต่ต้น เมื่อมาประกอบกับการชี้แจงของ 2 รัฐมนตรีพาณิชย์ และอีก 1 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ที่ผ่านศึกในสภามาอย่างโชกโชน แต่กลับไม่ผ่านด่านนักข่าวที่กระทรวงพาณิชย์ ตอบไม่ได้ว่าขาดทุน-กำไรเท่าไหร่ ก็เลยสร้างความเสียหายให้แก่รัฐบาลหนักเข้าไปอีก นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถึงขั้นสั่งเปลี่ยนตัวคนชี้แจงใหม่เป็น วราเทพ รัตนากร รมต.ประจำสำนักนายกฯ แทนรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง คนก็เลยคิดได้ว่า เป็นรัฐมนตรีพาณิชย์แต่ไม่ได้พูดเรื่องค้าขายข้าวก็ไม่รู้จะเป็นไปทำไม แต่การจะเปลี่ยนรัฐมนตรีสายแข็งอย่างนี้ ใช่ว่าจะทำกันได้ง่ายๆ ยิ่งในวันนี้ เจ๊แดง-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ เข้ามานั่งในสภาแล้วเรื่องราวก็คงจะยุ่งไม่ใช่เล่น อีกรายหรือก็มาจากโควตาคนเสื้อแดง การจะปรับเปลี่ยนอย่างไรก็ต้องคำนึงด้วยว่า ถ้าเอาคนนี้ออกแล้วจะเอาอีกคนมาเรียกแขกแทนในสภาพรัฐบาลที่เป๋ไป เป๋มาอย่างนี้มันไม่ใช่เรื่องที่จะเหตุมาเพิ่ม แต่แรงกดดันก็ใช่ว่าจะไม่มีต่อเนื่อง เพราะสภาพเศรษฐกิจภายหลังลดดอกเบี้ยลง 0.25% แล้วความเสี่ยงที่จะเกิดกับภาคอสังหาริมทรัพย์ก็พุ่งเข้ามาทันที ที่ก่อนหน้านี้เกรงๆ กันว่า จะเกิดฟองสบู่ในภาคอสังหาฯ ตอนนี้ก็เริ่มกลัวกันอย่างจริงจัง ในขณะที่บ้านและคอนโดมิเนียมนั้นมีอยู่มากกว่าความต้องการ เมื่อดอกเบี้ยลดก็จะไปกระตุ้นแรงซื้อ แต่มันไม่สอดคล้องก็คือ ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวนั้นมีแต่จะไปเพิ่มกำลังซื้อที่ไม่ยั่งยืนให้เกิด ขึ้น เมื่อภาวะความเสี่ยงของเศรษฐกิจเริ่มรุมเร้า มาประกอบกับการแสดงความสามารถของรัฐมนตรีที่รัฐบาลบอกว่า "เลือก" แล้ว แต่ผลกลับเป็นตรงกันข้าม มันก็ยิ่งไปกันใหญ่ ยิ่งตอกย้ำว่า การเลือกคนเข้ามานั้นไม่จำเป็นต้องให้ตรงกับงาน หากแต่ให้ตรงกับโควตาว่าเป็นคนของสายใคร สุดท้ายก็ต้องมาแก้ปัญหาเอารัฐมนตรีที่กำกับดูแลงานอื่นอยู่มาช่วยแก้ต่าง ให้ ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าจะแก้อย่างไร ในเมื่อผู้คนต้องการที่จะรู้ความจริงว่า โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลนั้นมาถึงวันนี้ เสียหาย หรือเจ๊งไปแล้วเท่าไหร่แล้ว ปรากฏการณ์หน้ากากขาวที่ใครๆ ต่างก็พูดตรงกันแล้วว่า "จุดติด" เพราะผุดเป็นดอกเห็ดทั่วประเทศในวันที่นัดชุมนุมนั้น เกิดมาตรงจังหวะที่ "ความเชื่อมั่น" ของรัฐบาลซวนทรุดจากความไม่ชัดเจนในโครงการรับจำนำข้าว งานนี้อย่าว่าแต่ นายกฯ ยิ่งลักษณ์เลย แม้แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ยังปวดหัว ! ถึงแม้กรรมการยุทธศาสตร์จะประเมินแล้วว่า ถึงอย่างไรเสียงข้างมากก็ยังได้เปรียบในสภา แต่ก็ยังมีความกังวลว่า ด้านนอกสภา มีหน้ากากขาวพรึ่บทุกวันหยุดนั้น จะทำอย่างไร เพราะรู้อยู่แล้วว่า คนเหล่านั้นคือ "ของจริง" ที่ชิงชังการบริหารประเทศของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ นั่นอาจเป็นที่มาของการเร่งฟื้นกลุ่มก้อนคนเสื้อแดงในพื้นที่ต่างๆ แต่คงไม่ถึงขั้นเอามาชนกับหน้ากากขาว เพียงแต่การเร่งฟื้นความสัมพันธ์นั้นเป็นการเตรียมพร้อมว่าหากเกิดมี อุบัติเหตุ หรือหากจำเป็นต้องคืนสิทธิให้แก่ประชาชนได้เลือกตั้ง แรงกดดันทั้งเศรษฐกิจทั้งการเมืองรุกไล่รัฐบาลจนใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว ขอบคุณ... www.komchadluek.net/detail/20130611/160708/การเมืองเศรษฐกิจประชิดรัฐบาล.html#.UbaeFtikPZ4
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)