อำนาจทางการเมืองอหังการ หลักประกันสุขภาพสะเทือน
อาจจะเป็นข่าวเล็กในความรู้สึกหรือความเห็นของสาธารณชนในสังคมไทย ต่อกรณีที่คณะกรรมการองค์การเภสัชกรรม หรือ บอร์ด อภ. มีมติเป็นเอกฉันท์เห็นควรเลิกจ้าง นพ.วิทิต อรรถเวชกุล จากตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม เนื่องจากมีความบกพร่องต่อหน้าที่ และไม่ปฏิบัติตามสัญญาจ้างของผู้ว่าจ้างคือ อภ. โดยให้ นพ.วิทิตยุติการปฏิบัติหน้าที่ทันทีจนกว่าจะมีมติ ครม.หรือมีคำสั่งเป็นอื่น โดยไม่มีการจ่ายเงินชดเชยใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเชื่อว่ามีประชาชนคนไทยมากมาย ไม่เคยรู้และไม่ได้เข้าใจว่า ตำแหน่งผู้อำนวยการ อภ.มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งโดยตรงและทางอ้อมกับระบบประกันสุขภาพของตัว เอง อันเกี่ยวกับการเข้าถึงยา และการบริโภคยาและเวชภัณฑ์ต่างๆ ในราคาที่เป็นธรรม นอกจากนั้นที่สำคัญ ประชาชนคนเดินดิน หาเช้ากินค่ำก็มิได้รับรู้ว่า กระบวนการปลด นพ.วิทิตออกจากตำแหน่งในครั้งนี้ มีเบื้องลึกเบื้องหลังเกี่ยวข้องกับอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมือง
ข้อกล่าวหาจำนวน 3 ประเด็น อันได้แก่ การจัดซื้อวัตถุดิบผลิตยาพาราเซตามอล ความล่าช้าในการก่อสร้างโรงงานผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่/ไข้หวัดนก และการสร้างโรงงานยาต้านไวรัสเอดส์ล่าช้า ที่บอร์ด อภ.ใช้เป็นเหตุในการปลด นพ.วิทิตในครั้งนี้ ถือเป็นสิทธิและความรับผิดชอบของ นพ.วิทิตที่จะต้องพิสูจน์ทราบตามกระบวนการยุติธรรม แต่ท่ามกลางการพิสูจน์ทราบเพื่อหาข้อยุติและข้อเท็จจริงต่อสู้กับอำนาจ ตามระบบระเบียบราชการแผ่นดินนั้น ขบวนการพิทักษ์ผลประโยชน์ของประชาชนในระบบประกันสุขภาพก็ดูเหมือนกำลัง ก่อตัวเพื่อที่จะต่อต้านอำนาจทางการเมืองที่กำลังแทรกแซงระบบบริหารจัด การในทางสาธารณสุขอย่างน่าจับตาและติดตาม ทั้งนี้ พิจารณาได้จากความเคลื่อนไหวของกลุ่มแพทย์ชนบทที่ประกาศว่าได้จัดตั้ง ชมรมเครือข่ายพิทักษ์ระบบสุขภาพชุมชนเพื่อประชาชนแห่งประเทศไทยขึ้น และนำเอาประเด็นการปลด นพ.วิทิตร่วมเป็นประเด็นการต่อสู้กับอำนาจทางการเมืองที่แผ่ขยายอำนาจ มากขึ้นทุกที ภายใต้การบริหารจัดการของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นี่เอง
นอกจากนั้น แม้แต่สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจองค์การเภสัชกรรมยัง ได้มีการตั้งข้อสังเกตว่า เหตุการปลด นพ.วิทิตเกิดจากปัญหาที่ไม่ยอมสนองตอบต่อผลประโยชน์ทางการเมือง โดยมีการดำเนินการตามแผนเป็นขั้นเป็นตอนทำลายความน่าเชื่อถือของ นพ.วิทิต ตลอดจนทั้ง อภ. ในขณะเดียวกันอดีตประธานชมรมแพทย์ชนบทก็แสดงความเห็นว่า การปลด นพ.วิทิตเปรียบเสมือนนิทานอีสปเรื่องหมาป่ากับลูกแกะ ที่ทางฝ่ายการเมืองเข้ามาแทรกแซง อภ. รวมทั้งผู้จัดการแผนงานพัฒนากลไกเฝ้าระวังระบบยา ก็ชี้ว่ามีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ปรากฏต่อสาธารณะ ว่าการปลด นพ.วิทิตเป็นการท้าทายระบบการสรรหายา รวมถึงผลประโยชน์ของการเจรจาเขตการค้าเสรี การทำเมดิคัลฮับ และการจ่ายค่าตอบแทนของบุคลากรทางสาธารณสุขที่ยังคงเป็นประเด็นสร้าง ความขัดแย้งระหว่างข้าราชการประจำและข้าราชการการเมือง
เรื่องการปลดหมอวิทิตจากตำแหน่งผู้อำนวยการ อภ.จึงไม่ใช่เรื่องเล็กเรื่องน้อยที่ประชาชนจะนิ่งดูดาย แต่ขอแนะนำให้ทุกคนได้ติดตามข้อมูลข่าวสารกรณีความเคลื่อนไหวในแวด วงสาธารณสุขทั้งในระดับนโยบายจนถึงระดับการปฏิบัติอย่างตั้งใจ เพื่อให้รู้เท่าทันระบอบการปกครองที่ชอบอ้างประ ชาธิปไตยของคนเสียงข้างมาก แต่ใช้อำนาจตามอำเภอใจ และทางมิดีมิชอบ อีกทั้งอยากให้ช่วยกันส่งเสริมสนับสนุนกลุ่มที่กำลังเคลื่อนไหวตรวจสอบ การใช้อำนาจทางการเมืองในทางมิชอบในแวดวงสาธารณสุขนี้อย่างใกล้ชิด ก่อนที่ระบบบริหารจัดการด้านสาธารณสุข โดยเฉพาะอันเกี่ยวกับระบบหลักประ กันสุขภาพของประชาชนจะถูกทำลาย หรือตกไปอยู่ในมือของกลุ่มผลประโยชน์ที่เอกชนและนักการเมืองร่วมมือ กันอย่างแยบยลอาศัยนโยบายสาธารณสุขแห่งชาติกอบโกยหาผลประโยชน์เข้ากระ เป๋าตนเองและพรรคพวกพ้อง
อย่างน้อยที่สุด การที่ นพ.วิทิตได้รับการยอมรับและชื่นชมว่า ทำให้ระบบการเข้าถึงยาของประชาชนมีความถูกต้อง เหมาะสมและยุติธรรมมากกว่าในอดีต ก็น่าจะเป็นเครื่องยืนยันถึงความโปร่งใสในการบริหารจัดการ อภ. ส่วนการที่ นพ.วิทิตถูกตั้งข้อกล่าวหาจากเอกชนหรือบริษัทผู้ค้ายา ในการปรับเปลี่ยน การจัดซื้อจัดจ้างหรือแอลซียานั้น น่าจะเป็นสิ่งตอกย้ำให้เห็นว่า เป็นผู้มีภาวะผู้นำที่ยอมสุ่มเสี่ยงต่อกรกับอำนาจและอิทธิพลของบริษัท ข้ามชาติ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนคนไทย ทั้งนี้ ยังไม่รวมถึงการที่พยายามผลักดันให้มีการสร้างโรงงานผลิตยาและวัคซีน ของตัวเอง ก็เป็นผลงานเชิงประจักษ์ที่รับรู้กันมาโดยตลอด
ดังนั้น ความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้นตั้งแต่การออกระ เบียบใหม่ในการจ่ายค่าตอบแทนบุคลากรในแวดวงสาธารณสุข การปรับเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริหารในหน่วยงานตระกูลที่ขึ้นด้วย ส. อาทิอย่าง สำนักงานปฏิรูประบบสุขภาพแห่งชาติ (สปรส.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และเป้าหมายต่อไปยังอาจจะเป็นที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริม สุขภาพ (สสส.) นั้น ล้วนแล้วแต่มีวาระซ่อนเร้นทางการเมืองที่ต้องช่วยกันติดตามตรวจสอบ มิเช่นนั้นหลักประกันสุขภาพของปวงชนชาวไทยก็คงตกไปอยู่ในมือของกลุ่ม ผู้แสวงหาผลประโยชน์กลุ่มเดียว โดยมีนักกินเมืองอยู่เบื้องหลัง แล้วอ้างว่าดูแลคนจนอย่างเท่าเทียม ทั้งๆ ที่เนื้อแท้คือ การโยนเศษเนื้อให้คนจน ขณะที่เนื้อสันก้อนโตไปอยู่ในกระเป๋าของฝ่ายการเมืองเหมือนในอดีต ที่ผ่านมา
ขอบคุณ... http://www.ryt9.com/s/tpd/1653376
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
อาจจะเป็นข่าวเล็กในความรู้สึกหรือความเห็นของสาธารณชนในสังคมไทย ต่อกรณีที่คณะกรรมการองค์การเภสัชกรรม หรือ บอร์ด อภ. มีมติเป็นเอกฉันท์เห็นควรเลิกจ้าง นพ.วิทิต อรรถเวชกุล จากตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม เนื่องจากมีความบกพร่องต่อหน้าที่ และไม่ปฏิบัติตามสัญญาจ้างของผู้ว่าจ้างคือ อภ. โดยให้ นพ.วิทิตยุติการปฏิบัติหน้าที่ทันทีจนกว่าจะมีมติ ครม.หรือมีคำสั่งเป็นอื่น โดยไม่มีการจ่ายเงินชดเชยใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเชื่อว่ามีประชาชนคนไทยมากมาย ไม่เคยรู้และไม่ได้เข้าใจว่า ตำแหน่งผู้อำนวยการ อภ.มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งโดยตรงและทางอ้อมกับระบบประกันสุขภาพของตัว เอง อันเกี่ยวกับการเข้าถึงยา และการบริโภคยาและเวชภัณฑ์ต่างๆ ในราคาที่เป็นธรรม นอกจากนั้นที่สำคัญ ประชาชนคนเดินดิน หาเช้ากินค่ำก็มิได้รับรู้ว่า กระบวนการปลด นพ.วิทิตออกจากตำแหน่งในครั้งนี้ มีเบื้องลึกเบื้องหลังเกี่ยวข้องกับอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมือง ข้อกล่าวหาจำนวน 3 ประเด็น อันได้แก่ การจัดซื้อวัตถุดิบผลิตยาพาราเซตามอล ความล่าช้าในการก่อสร้างโรงงานผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่/ไข้หวัดนก และการสร้างโรงงานยาต้านไวรัสเอดส์ล่าช้า ที่บอร์ด อภ.ใช้เป็นเหตุในการปลด นพ.วิทิตในครั้งนี้ ถือเป็นสิทธิและความรับผิดชอบของ นพ.วิทิตที่จะต้องพิสูจน์ทราบตามกระบวนการยุติธรรม แต่ท่ามกลางการพิสูจน์ทราบเพื่อหาข้อยุติและข้อเท็จจริงต่อสู้กับอำนาจ ตามระบบระเบียบราชการแผ่นดินนั้น ขบวนการพิทักษ์ผลประโยชน์ของประชาชนในระบบประกันสุขภาพก็ดูเหมือนกำลัง ก่อตัวเพื่อที่จะต่อต้านอำนาจทางการเมืองที่กำลังแทรกแซงระบบบริหารจัด การในทางสาธารณสุขอย่างน่าจับตาและติดตาม ทั้งนี้ พิจารณาได้จากความเคลื่อนไหวของกลุ่มแพทย์ชนบทที่ประกาศว่าได้จัดตั้ง ชมรมเครือข่ายพิทักษ์ระบบสุขภาพชุมชนเพื่อประชาชนแห่งประเทศไทยขึ้น และนำเอาประเด็นการปลด นพ.วิทิตร่วมเป็นประเด็นการต่อสู้กับอำนาจทางการเมืองที่แผ่ขยายอำนาจ มากขึ้นทุกที ภายใต้การบริหารจัดการของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นี่เอง นอกจากนั้น แม้แต่สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจองค์การเภสัชกรรมยัง ได้มีการตั้งข้อสังเกตว่า เหตุการปลด นพ.วิทิตเกิดจากปัญหาที่ไม่ยอมสนองตอบต่อผลประโยชน์ทางการเมือง โดยมีการดำเนินการตามแผนเป็นขั้นเป็นตอนทำลายความน่าเชื่อถือของ นพ.วิทิต ตลอดจนทั้ง อภ. ในขณะเดียวกันอดีตประธานชมรมแพทย์ชนบทก็แสดงความเห็นว่า การปลด นพ.วิทิตเปรียบเสมือนนิทานอีสปเรื่องหมาป่ากับลูกแกะ ที่ทางฝ่ายการเมืองเข้ามาแทรกแซง อภ. รวมทั้งผู้จัดการแผนงานพัฒนากลไกเฝ้าระวังระบบยา ก็ชี้ว่ามีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ปรากฏต่อสาธารณะ ว่าการปลด นพ.วิทิตเป็นการท้าทายระบบการสรรหายา รวมถึงผลประโยชน์ของการเจรจาเขตการค้าเสรี การทำเมดิคัลฮับ และการจ่ายค่าตอบแทนของบุคลากรทางสาธารณสุขที่ยังคงเป็นประเด็นสร้าง ความขัดแย้งระหว่างข้าราชการประจำและข้าราชการการเมือง เรื่องการปลดหมอวิทิตจากตำแหน่งผู้อำนวยการ อภ.จึงไม่ใช่เรื่องเล็กเรื่องน้อยที่ประชาชนจะนิ่งดูดาย แต่ขอแนะนำให้ทุกคนได้ติดตามข้อมูลข่าวสารกรณีความเคลื่อนไหวในแวด วงสาธารณสุขทั้งในระดับนโยบายจนถึงระดับการปฏิบัติอย่างตั้งใจ เพื่อให้รู้เท่าทันระบอบการปกครองที่ชอบอ้างประ ชาธิปไตยของคนเสียงข้างมาก แต่ใช้อำนาจตามอำเภอใจ และทางมิดีมิชอบ อีกทั้งอยากให้ช่วยกันส่งเสริมสนับสนุนกลุ่มที่กำลังเคลื่อนไหวตรวจสอบ การใช้อำนาจทางการเมืองในทางมิชอบในแวดวงสาธารณสุขนี้อย่างใกล้ชิด ก่อนที่ระบบบริหารจัดการด้านสาธารณสุข โดยเฉพาะอันเกี่ยวกับระบบหลักประ กันสุขภาพของประชาชนจะถูกทำลาย หรือตกไปอยู่ในมือของกลุ่มผลประโยชน์ที่เอกชนและนักการเมืองร่วมมือ กันอย่างแยบยลอาศัยนโยบายสาธารณสุขแห่งชาติกอบโกยหาผลประโยชน์เข้ากระ เป๋าตนเองและพรรคพวกพ้อง อย่างน้อยที่สุด การที่ นพ.วิทิตได้รับการยอมรับและชื่นชมว่า ทำให้ระบบการเข้าถึงยาของประชาชนมีความถูกต้อง เหมาะสมและยุติธรรมมากกว่าในอดีต ก็น่าจะเป็นเครื่องยืนยันถึงความโปร่งใสในการบริหารจัดการ อภ. ส่วนการที่ นพ.วิทิตถูกตั้งข้อกล่าวหาจากเอกชนหรือบริษัทผู้ค้ายา ในการปรับเปลี่ยน การจัดซื้อจัดจ้างหรือแอลซียานั้น น่าจะเป็นสิ่งตอกย้ำให้เห็นว่า เป็นผู้มีภาวะผู้นำที่ยอมสุ่มเสี่ยงต่อกรกับอำนาจและอิทธิพลของบริษัท ข้ามชาติ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนคนไทย ทั้งนี้ ยังไม่รวมถึงการที่พยายามผลักดันให้มีการสร้างโรงงานผลิตยาและวัคซีน ของตัวเอง ก็เป็นผลงานเชิงประจักษ์ที่รับรู้กันมาโดยตลอด ดังนั้น ความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้นตั้งแต่การออกระ เบียบใหม่ในการจ่ายค่าตอบแทนบุคลากรในแวดวงสาธารณสุข การปรับเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริหารในหน่วยงานตระกูลที่ขึ้นด้วย ส. อาทิอย่าง สำนักงานปฏิรูประบบสุขภาพแห่งชาติ (สปรส.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และเป้าหมายต่อไปยังอาจจะเป็นที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริม สุขภาพ (สสส.) นั้น ล้วนแล้วแต่มีวาระซ่อนเร้นทางการเมืองที่ต้องช่วยกันติดตามตรวจสอบ มิเช่นนั้นหลักประกันสุขภาพของปวงชนชาวไทยก็คงตกไปอยู่ในมือของกลุ่ม ผู้แสวงหาผลประโยชน์กลุ่มเดียว โดยมีนักกินเมืองอยู่เบื้องหลัง แล้วอ้างว่าดูแลคนจนอย่างเท่าเทียม ทั้งๆ ที่เนื้อแท้คือ การโยนเศษเนื้อให้คนจน ขณะที่เนื้อสันก้อนโตไปอยู่ในกระเป๋าของฝ่ายการเมืองเหมือนในอดีต ที่ผ่านมา ขอบคุณ... http://www.ryt9.com/s/tpd/1653376
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)