ผลวิจัยชี้หญิงไทยลังเลเรื่องการทำแท้ง...ร้อยละ 32.7 ลูกเป็นออทิสติก
ศูนย์วิจัยความสุขชุมชนเอแบคชี้ผู้หญิงส่วนใหญ่ยังลังเลทำแท้งร้อยละ 56.7 ระบุเทคโนโลยีของหมอมีผลต่อการตัดสินใจตั้งครรภ์นางสาวปุณฑีรก์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจเรื่อง เทคโนโลยีทางการแพทย์ จริยธรรม กับการตัดสินใจทำแท้งของสตรีตั้งครรภ์ในสังคมไทย กรณีศึกษาตัวอย่างกลุ่มผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 626 ตัวอย่าง พบว่า ผู้หญิงที่ถูกศึกษาส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 74.8 ระบุว่า ช่วงอายุที่เหมาะสมสำหรับการตั้งครรภ์คือช่วงอายุระหว่าง 20-29 ปี ในขณะที่ร้อยละ 23.5 ระบุว่า ช่วงอายุระหว่าง30-39ปี
ที่น่าพิจารณาคือ ผู้หญิงเกินครึ่งหรือร้อยละ 55.1 ระบุว่า ช่วงอายุที่มากเกินไปสำหรับการตั้งครรภ์คือช่วงอายุระหว่าง 30-39 ปี และร้อยละ 38.0 ระบุ ช่วงอายุระหว่าง 40-49 ปี ในขณะที่ร้อยละ 5.1 ระบุช่วงอายุ 50-59 ปี สำหรับเหตุผลที่ทำให้มีลูกตอนอายุมากนั้น พบว่า กลุ่มตัวอย่างเกือบหนึ่งในสาม หรือร้อยละ 30.0 ระบุว่า แต่งงานตอนอายุมาก รองๆ ลงมาคือ ร้อยละ 27.6 ระบุว่า ความพร้อมทางฐานะการเงิน ร้อยละ 22.8 บอกว่า ความมั่นคงในชีวิตคู่ นอกจากนี้ ยังมีเหตุผลอื่นๆ อีก ได้แก่ ตั้งครรภ์โดยไม่ได้ตั้งใจ สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์อยากได้ลูกเป็นโซ่ทองคล้องใจและความมั่นใจในเทคโนโลยีทางการแพทย์ตามลำดับ
ส่วนผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับทารกหากตั้งครรภ์ตอนอายุ 30 ปีขึ้นไป ห้าอันดับแรกได้แก่ อันดับหนึ่ง ร้อยละ 53.8 ระบุ มีพัฒนาการเรียนรู้ช้า อันดับสอง ร้อยละ 38.3 ระบุ เด็กเป็นดาวน์ซินโดรม อันดับสาม ร้อยละ 38.0 ระบุ อวัยวะในร่างกายไม่ครบสมบูรณ์ อันดับสี่ร้อยละ32.7ระบุเด็กเป็นออทิสติกและอันดับที่5 ร้อยละ26.2ระบุครรภ์เป็นพิษตามลำดับ
นอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่างเกินครึ่งหรือร้อยละ 56.7 ระบุว่าเทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบันมีผลต่อการตัดสินใจตั้งครรภ์มีผลต่อการตัดสินมากถึงค่อนข้างมาก ร้อยละ 34.7 ระบุปานกลาง มีเพียงแค่ร้อยละ5.7ระบุมีผลค่อนข้างน้อยถึงน้อย
ที่น่าสนใจคือ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 56.8 ระบุว่า ยังลังเลไม่แน่ใจและต้องปรึกษาคนในครอบครัวก่อนว่าจะทำแท้งหรือไม่หากแพทย์วินิจฉัยว่ามีความเสี่ยงต่อชีวิต ในขณะที่ร้อยละ 27.0 จะตัดสินใจทำแท้งทั้งนี้มีเพียงร้อยละ16.2ที่ตัดสินใจไม่ทำแท้งและพร้อมยอมรับความเสี่ยง
ผช.ผอ.ศูนย์วิจัยความสุขชุมชน กล่าวว่า จะเห็นได้ว่าผู้หญิงที่ถูกศึกษามีเพียงส่วนน้อยที่คำนึงถึงศีลธรรม-จริยธรรมที่เข้มแข็ง โดยจากการสัมภาษณ์เจาะลึกพบว่า พวกเธอคิดถึงเรื่อง "ชีวิตมนุษย์" ในครรภ์และ "ความเป็นลูก" ที่มาจากตัวของพวกเธอเป็นหลัก พวกเธอเห็นตรงกันว่า ถ้าตัดสินใจทำแท้งก็คือทำลายชีวิตของลูกชีวิตของมนุษย์และจะเป็นบาปติดตัวไปตลอด
อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ยังคงลังเล ไม่แน่ใจว่าจะทำแท้งหรือไม่ขึ้นอยู่กับการชี้แนะชี้นำของคนใกล้ชิดรอบข้าง แต่การที่ผลสำรวจพบว่าคนที่ตัดสินใจทำแท้งทันทีมีอยู่เกินกว่า 1 ใน 4 ของผู้หญิงที่ถูกศึกษาทั้งหมดนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงในสังคมด้านศาสนาและวิทยาศาสตร์กันต่อไป
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
โลโก้ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ศูนย์วิจัยความสุขชุมชนเอแบคชี้ผู้หญิงส่วนใหญ่ยังลังเลทำแท้งร้อยละ 56.7 ระบุเทคโนโลยีของหมอมีผลต่อการตัดสินใจตั้งครรภ์นางสาวปุณฑีรก์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจเรื่อง เทคโนโลยีทางการแพทย์ จริยธรรม กับการตัดสินใจทำแท้งของสตรีตั้งครรภ์ในสังคมไทย กรณีศึกษาตัวอย่างกลุ่มผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 626 ตัวอย่าง พบว่า ผู้หญิงที่ถูกศึกษาส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 74.8 ระบุว่า ช่วงอายุที่เหมาะสมสำหรับการตั้งครรภ์คือช่วงอายุระหว่าง 20-29 ปี ในขณะที่ร้อยละ 23.5 ระบุว่า ช่วงอายุระหว่าง30-39ปี ที่น่าพิจารณาคือ ผู้หญิงเกินครึ่งหรือร้อยละ 55.1 ระบุว่า ช่วงอายุที่มากเกินไปสำหรับการตั้งครรภ์คือช่วงอายุระหว่าง 30-39 ปี และร้อยละ 38.0 ระบุ ช่วงอายุระหว่าง 40-49 ปี ในขณะที่ร้อยละ 5.1 ระบุช่วงอายุ 50-59 ปี สำหรับเหตุผลที่ทำให้มีลูกตอนอายุมากนั้น พบว่า กลุ่มตัวอย่างเกือบหนึ่งในสาม หรือร้อยละ 30.0 ระบุว่า แต่งงานตอนอายุมาก รองๆ ลงมาคือ ร้อยละ 27.6 ระบุว่า ความพร้อมทางฐานะการเงิน ร้อยละ 22.8 บอกว่า ความมั่นคงในชีวิตคู่ นอกจากนี้ ยังมีเหตุผลอื่นๆ อีก ได้แก่ ตั้งครรภ์โดยไม่ได้ตั้งใจ สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์อยากได้ลูกเป็นโซ่ทองคล้องใจและความมั่นใจในเทคโนโลยีทางการแพทย์ตามลำดับ ส่วนผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับทารกหากตั้งครรภ์ตอนอายุ 30 ปีขึ้นไป ห้าอันดับแรกได้แก่ อันดับหนึ่ง ร้อยละ 53.8 ระบุ มีพัฒนาการเรียนรู้ช้า อันดับสอง ร้อยละ 38.3 ระบุ เด็กเป็นดาวน์ซินโดรม อันดับสาม ร้อยละ 38.0 ระบุ อวัยวะในร่างกายไม่ครบสมบูรณ์ อันดับสี่ร้อยละ32.7ระบุเด็กเป็นออทิสติกและอันดับที่5 ร้อยละ26.2ระบุครรภ์เป็นพิษตามลำดับ นอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่างเกินครึ่งหรือร้อยละ 56.7 ระบุว่าเทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบันมีผลต่อการตัดสินใจตั้งครรภ์มีผลต่อการตัดสินมากถึงค่อนข้างมาก ร้อยละ 34.7 ระบุปานกลาง มีเพียงแค่ร้อยละ5.7ระบุมีผลค่อนข้างน้อยถึงน้อย ที่น่าสนใจคือ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 56.8 ระบุว่า ยังลังเลไม่แน่ใจและต้องปรึกษาคนในครอบครัวก่อนว่าจะทำแท้งหรือไม่หากแพทย์วินิจฉัยว่ามีความเสี่ยงต่อชีวิต ในขณะที่ร้อยละ 27.0 จะตัดสินใจทำแท้งทั้งนี้มีเพียงร้อยละ16.2ที่ตัดสินใจไม่ทำแท้งและพร้อมยอมรับความเสี่ยง ผช.ผอ.ศูนย์วิจัยความสุขชุมชน กล่าวว่า จะเห็นได้ว่าผู้หญิงที่ถูกศึกษามีเพียงส่วนน้อยที่คำนึงถึงศีลธรรม-จริยธรรมที่เข้มแข็ง โดยจากการสัมภาษณ์เจาะลึกพบว่า พวกเธอคิดถึงเรื่อง "ชีวิตมนุษย์" ในครรภ์และ "ความเป็นลูก" ที่มาจากตัวของพวกเธอเป็นหลัก พวกเธอเห็นตรงกันว่า ถ้าตัดสินใจทำแท้งก็คือทำลายชีวิตของลูกชีวิตของมนุษย์และจะเป็นบาปติดตัวไปตลอด อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ยังคงลังเล ไม่แน่ใจว่าจะทำแท้งหรือไม่ขึ้นอยู่กับการชี้แนะชี้นำของคนใกล้ชิดรอบข้าง แต่การที่ผลสำรวจพบว่าคนที่ตัดสินใจทำแท้งทันทีมีอยู่เกินกว่า 1 ใน 4 ของผู้หญิงที่ถูกศึกษาทั้งหมดนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงในสังคมด้านศาสนาและวิทยาศาสตร์กันต่อไป ขอบคุณ... http://www.posttoday.com/สังคม/สาธารณสุข/212993/ผลวิจัยชี้หญิงไทยลังเลเรื่องการทำแท้ง
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)