ตัวเลขเด็กกลุ่มพิเศษเพิ่มขึ้น...สพฐ.คัดกรองจัดสอนให้เหมาะ
นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) เปิดเผยภายหลังประชุมผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า ที่ประชุมได้รับทราบผลการตรวจราชการ จากผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเรื่องหนึ่งที่ สพฐ.ได้หยิบยกมาหารือในที่ประชุม คือ ประเด็นการพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนให้มีความเข้มแข็งและมีกลไกที่จะช่วยดูแล คัดกรอง และส่งต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากมีข้อมูลผลการคัดกรองนักเรียนและข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต พบว่า ขณะนี้ภาพรวมของเด็กที่อยู่ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ต้องการได้รับการดูแลพิเศษ หรือเด็กกลุ่มพิเศษ ซึ่งอยู่ในขอบข่ายที่สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สพฐ.ทำหน้าที่ดูแลอยู่นั้น มีจำนวนถึง 20% แบ่งออกเป็น 5 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ 1.กลุ่มที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ หรือ แอลดี ประมาณ 10-15% 2.กลุ่มเด็กสมาธิสั้น มีประมาณ 8% 3.กลุ่มเด็กที่มีปัญหาพฤติกรรมและอารมณ์ ประมาณ 5% 4.กลุ่มเด็กออทิสติก พบ 1 ใน 88 คน คิดเป็น 1.13% และ 5.กลุ่มที่มีความพิการทางกายภาพ ได้แก่ หูหนวก ตาบอด ร่างกายพิการ และยังบกพร่องทางสติปัญญา ประมาณ 2%
"เด็กทั้ง 5 กลุ่มนี้อาจจะมีความบกพร่องทับซ้อนกันบ้าง ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ให้ สพฐ.ทราบว่าการดำเนินการเพื่อสร้างและพัฒนาระบบดูแลและช่วยเหลือนักเรียนนั้นมีความสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อพบว่าปัญหาดังกล่าวมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น การ แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ โดยไม่ได้ดูที่ต้นเหตุของปัญหาจะทำให้แก้ไขได้ยาก เพราะฉะนั้นต้องคัดกรองนักเรียนที่มีปัญหาและพัฒนาช่วยเหลือซึ่งทำ ให้การดูแลมีประสิทธิภาพมากกว่าตามแก้ปัญหาภายหลัง" เลขาธิการ กพฐ. กล่าว
นายชินภัทร กล่าวต่อว่า ที่ประชุมได้ให้ข้อเสนอแนะว่าควรจะต้องทำระบบคัดกรองเด็กและการส่งต่อเด็กที่มีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันต้องสร้างความ เข้มแข็งให้สถานศึกษา โดยเสนอว่าควรจะมี คณะกรรมการช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษา 1 ชุดและมีเจ้าหน้าที่จากภายนอกคอยให้การช่วยเหลือ นอกจากนี้ จะต้องสร้างกลไกช่วยเหลือดูแลนักเรียนในลักษณะองค์รวม เช่น กรณีเกิดเหตุการณ์กระทำรุนแรงต่อเด็ก โรงเรียนจะมีหน้าที่ดูแลเบื้องต้น มีเขตพื้นที่การศึกษาคอยให้การสนับสนุน และ สพฐ.เป็นหน่วยงานประสาน ทั้งนี้ เบื้องต้น สพฐ.จะขยายผลโดยใช้หน่วยเฉพาะกิจดูแลช่วยเหลือนักเรียน (ฉกชน.) ของ สพฐ. และ ฉกชน.ประจำเขตพื้นที่การศึกษาฯ ก่อนและในอนาคตที่หากโรงเรียนมีคณะกรรมการช่วยเหลือนักเรียนประจำ โรงเรียน แล้วทั้งหมดจะทำงานช่วยเหลือกัน พร้อมกันนี้ต้องทำหลักสูตร คู่มือสำหรับครูที่เป็นองค์ความรู้ในเรื่องการดูแลช่วยเหลือนัก เรียน ครอบคลุมการควบคุมพฤติกรรมของนักเรียน เช่น เรื่องการลงโทษอะไรที่ทำได้ อะไรทำไม่ได้ ฉะนั้น ในปีการศึกษา 2556 การพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนจะเป็นจุดเน้นสำคัญที่ สพฐ.ต้องดำเนินการยกระดับให้มีความเข้มข้นมากขึ้น
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) เปิดเผยภายหลังประชุมผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า ที่ประชุมได้รับทราบผลการตรวจราชการ จากผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเรื่องหนึ่งที่ สพฐ.ได้หยิบยกมาหารือในที่ประชุม คือ ประเด็นการพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนให้มีความเข้มแข็งและมีกลไกที่จะช่วยดูแล คัดกรอง และส่งต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากมีข้อมูลผลการคัดกรองนักเรียนและข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต พบว่า ขณะนี้ภาพรวมของเด็กที่อยู่ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ต้องการได้รับการดูแลพิเศษ หรือเด็กกลุ่มพิเศษ ซึ่งอยู่ในขอบข่ายที่สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สพฐ.ทำหน้าที่ดูแลอยู่นั้น มีจำนวนถึง 20% แบ่งออกเป็น 5 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ 1.กลุ่มที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ หรือ แอลดี ประมาณ 10-15% 2.กลุ่มเด็กสมาธิสั้น มีประมาณ 8% 3.กลุ่มเด็กที่มีปัญหาพฤติกรรมและอารมณ์ ประมาณ 5% 4.กลุ่มเด็กออทิสติก พบ 1 ใน 88 คน คิดเป็น 1.13% และ 5.กลุ่มที่มีความพิการทางกายภาพ ได้แก่ หูหนวก ตาบอด ร่างกายพิการ และยังบกพร่องทางสติปัญญา ประมาณ 2% "เด็กทั้ง 5 กลุ่มนี้อาจจะมีความบกพร่องทับซ้อนกันบ้าง ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ให้ สพฐ.ทราบว่าการดำเนินการเพื่อสร้างและพัฒนาระบบดูแลและช่วยเหลือนักเรียนนั้นมีความสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อพบว่าปัญหาดังกล่าวมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น การ แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ โดยไม่ได้ดูที่ต้นเหตุของปัญหาจะทำให้แก้ไขได้ยาก เพราะฉะนั้นต้องคัดกรองนักเรียนที่มีปัญหาและพัฒนาช่วยเหลือซึ่งทำ ให้การดูแลมีประสิทธิภาพมากกว่าตามแก้ปัญหาภายหลัง" เลขาธิการ กพฐ. กล่าว นายชินภัทร กล่าวต่อว่า ที่ประชุมได้ให้ข้อเสนอแนะว่าควรจะต้องทำระบบคัดกรองเด็กและการส่งต่อเด็กที่มีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันต้องสร้างความ เข้มแข็งให้สถานศึกษา โดยเสนอว่าควรจะมี คณะกรรมการช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษา 1 ชุดและมีเจ้าหน้าที่จากภายนอกคอยให้การช่วยเหลือ นอกจากนี้ จะต้องสร้างกลไกช่วยเหลือดูแลนักเรียนในลักษณะองค์รวม เช่น กรณีเกิดเหตุการณ์กระทำรุนแรงต่อเด็ก โรงเรียนจะมีหน้าที่ดูแลเบื้องต้น มีเขตพื้นที่การศึกษาคอยให้การสนับสนุน และ สพฐ.เป็นหน่วยงานประสาน ทั้งนี้ เบื้องต้น สพฐ.จะขยายผลโดยใช้หน่วยเฉพาะกิจดูแลช่วยเหลือนักเรียน (ฉกชน.) ของ สพฐ. และ ฉกชน.ประจำเขตพื้นที่การศึกษาฯ ก่อนและในอนาคตที่หากโรงเรียนมีคณะกรรมการช่วยเหลือนักเรียนประจำ โรงเรียน แล้วทั้งหมดจะทำงานช่วยเหลือกัน พร้อมกันนี้ต้องทำหลักสูตร คู่มือสำหรับครูที่เป็นองค์ความรู้ในเรื่องการดูแลช่วยเหลือนัก เรียน ครอบคลุมการควบคุมพฤติกรรมของนักเรียน เช่น เรื่องการลงโทษอะไรที่ทำได้ อะไรทำไม่ได้ ฉะนั้น ในปีการศึกษา 2556 การพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนจะเป็นจุดเน้นสำคัญที่ สพฐ.ต้องดำเนินการยกระดับให้มีความเข้มข้นมากขึ้น ขอบคุณ… http://www.ryt9.com/s/bmnd/1637616
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)