ผู้เสียหาย 4 รายโร่ร้อง 'ปวีณา' สูญเสียจากการรักษาพยาบาล…ถึงขั้นพิการและเสียชีวิต
เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 18 ก.พ.2556 ที่มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี (องค์กรสาธารณประโยชน์) เลขที่ 84/14 หมู่ 2 ถ.รังสิต-นครนายก (คลอง7) ต.ลำผักกูด อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิฯ เปิดเผยถึงรายละเอียดที่ผู้เสียหาย 4 ราย เข้าร้องทุกข์กับทางมูลนิธิปวีณาฯ ขอให้ช่วยตรวจสอบให้ความเป็นธรรม กรณีผลกระทบที่เกิดจากการเข้ารักษาตัว คลอดบุตรเสียชีวิต ลูกสำลักน้ำคร่ำระหว่างคลอดจนพิการทางสมอง เด็กฉีดวัคซีนแล้วพิการตาบอด เดินไม่ได้ รักษาการมีบุตรยากเสียชีวิต
ราย ที่ 1. นางภัทราภรณ์ พุ่มบางแก้ว อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 207 ม.6 ต.คลองลานพัฒนา อ.คลองลาน จ.กำแพงเพชร แจ้งว่าบุตรชาย ด.ช.วันเฉลิม ทองอิน อายุ 3 ปี 7 เดือน ฉีดวัคซีนที่อนามัยคลองลาน จ.กำแพงเพชรแล้วกล้ามเนื้ออ่อนแรง เกร็ง ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เคราะห์ร้ายตาทั้ง 2 ข้างบอดสนิทนอนเป็นเจ้าชายนิทรา
นางภัทราภรณ์ กล่าวว่า เมื่อ ปี 2552 ตนคลอดบุตรโดยการผ่าคลอดและใช้สิทธิบัตรทองที่ รพ.สวรรค์ประชารักษ์ จ.นครสวรรค์ เป็นบุตรเพศชายคนที่ 2 น้ำหนักแรกเกิด 2,360 กรัม มีสุขภาพที่แข็งแรงดีและฉีดวัคซีนตามระยะมาโดยตลอด ทุกครั้งหลังฉีดวัคซีนกลับมาจะมีไข้ ตัวร้อนประมาณ 2-3 วัน ลูกมีนิสัยร่าเริง ซุกซนตามประสาเด็กเรื่อยมา จนอายุ 9 เดือน กำลังหัดเดิน ถึงเวลาฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดและวัคซีนป้องกันไข้สมองอักเสบ กลับมามีไข้ ตัวร้อนและลูกชายเริ่มซึมลงเรื่อย ๆ จากนั้นก็เริ่มไม่เดิน ได้แต่นั่ง จากนั่งก็ได้แต่นอนและร่างกายไม่มีแรง จึงได้พาบุตรชายเข้าตรวจที่ รพ.กำแพงเพชร พร้อมทั้งสอบถามอาการของบุตรชายที่เป็นกับหมอเด็กกับรพ.พุทธชินราชจ.พิษณุโลก
เบื้องต้นหมอแจ้งว่าน่าจะแพ้วัคซีน โดยให้ รพ.กำแพงเพชร ประสานกับ รพ.คลองลาน ให้นำอุจาระเด็กไปตรวจให้ครบ 3 ครั้ง จากนั้นหมอ รพ.กำแพงเพชร ได้ประสานกับ รพ.คลองลานและให้ตนนำบุตรชายกลับบ้านไปก่อน และนัดมาตรวจดูอาการอีก 1 เดือนต่อไป โดยบอกว่าจะมีหมอ รพ.คลองลาน เข้าไปติดต่อเก็บอุจจาระบุตรชายที่บ้านเอง จนผ่านไป 1 เดือน ก็ยังไม่มีใครติดต่อเข้ามา เมื่อถึงกำหนด รพ.กำแพงเพชร นัดไปดูอาการและสอบถามเกี่ยวกับผลอุจจาระแต่ทางรพ.คลองลานยังไม่มีใครเข้ามาติดต่อเลย
ทาง รพ.กำแพงเพชรจึงแจ้งกับตนว่าให้รอไปก่อนเดี๋ยว รพ.คลองลาน คงจะติดต่อเข้าไป จนผ่านไปได้ 3 เดือน แล้วก็ยังไม่มี ซึ่ง หมอ รพ.กำแพงเพชร จึงบอกกับตนว่า ไม่เป็นไร ไม่ต้องตรวจก็ได้ เพราะมันนานเกิน 3 เดือนแล้ว หมอตรวจบุตรชายแล้วแจ้งว่า บุตรชายมีพัฒนาการช้า ให้พามาทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่อง จากนั้นอาการของบุตรชายเริ่มทรุดลงกว่าเดิม หมอจึงนำบุตรชายไปสแกนสมอง สงสัยว่าบุตรจะหัวโตและมีน้ำในสมอง แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ รพ.กำแพงเพชร จึงได้ส่งตัวบุตรชายไปรักษาต่อที่ รพ.พุทธชินราช จ.พิษณุโลก หมอได้นำบุตรชายตรวจ MRI และแจ้งว่าพบเซลล์ในสมองผิดปกติ แต่ไม่ทราบว่าเป็นเซลล์อะไรซึ่งจะมีอยู่ประมาณ20กว่าชนิดแต่ไม่มียารักษา
ตนจึงขอให้ รพ.พุทธชินราช ส่งตัวบุตรชายไปตรวจที่ รพ.มหาราช จ.เชียงใหม่ ผลตรวจพบเซลล์ในสมองผิดปกติ และไม่มียารักษาเช่นกัน ตนจึงขอให้ รพ.มหาราช ส่งตัวบุตรชายมาตรวจที่ รพ.ศิริราช ดูว่าเป็นอะไรกันแน่ ทาง รพ.ศิริราช ได้ทำการตรวจใหม่ทั้งหมด และแจ้งว่าพบเซลล์ในสมอง ตนไม่ทราบว่าเซลล์อะไร ซึ่งไม่มียารักษาเช่นกัน และหมอยังบอกอีกว่า บุตรชายเป็นระยะสุดท้ายแล้วให้ตนทำใจ จากนั้นทาง รพ.ศิริราช ได้นำชิ้นเนื้อบริเวณแขนขวาของบุตรชายไปตรวจเพื่อหาสาเหตุอีก จนถึงปัจจุบันนี้ยังไม่ทราบผล และทุกวันนี้บุตรชายมีอาการทรุดหนักกว่าเดิม ต้องนอนให้นมทางสายยาง กินอาหารเองไม่ได้ เพราะสำลักทำให้ปอดติดเชื้อ ตนสงสารลูกมาก เงินที่หามาได้ก็นำมารักษาบุตรชายจนหมดตัว ส่วนสามีก็ทิ้งไปอีก หนำซ้ำล่าสุดยังตรวจพบว่า ตาทั้ง 2 ข้างของบุตรชายบอดสนิท ตนไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร จึงตัดสินใจเข้าร้องเรียนต่อมูลนิธิปวีณาฯช่วยเหลือ
รายที่ 2. นางสาวชรินทร์พร วงค์หนายโกฏิ อายุ 28 ปี อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 101/61 ม.7 แขวงบางบอน เขตบางบอน กทม. แจ้งว่า เมื่อวันที่ 7 ม.ค. 2556 ได้ไปคลอดบุตรคนที่สองโดยการผ่าคลอด ที่ รพ.พระราม 2 แต่คลอดได้เพียง 3 วันแล้วบุตรเสียชีวิตลง รพ.อ้างว่าเป็นความผิดของ น.ส.ชรินทร์พร ที่ตั้งครรภ์นอกมดลูกเอง
น.ส.ชรินทร์พร กล่าวว่า ตนตั้งครรภ์บุตรคนที่ 2 ซึ่งได้ฝากครรภ์ไว้กับ รพ.พระราม 2 หลังจากนั้นได้เข้ารับการตรวจที่ คลินิคเทียนทะเล ในเครือ รพ.พระราม 2 และไปพบแพทย์ทุกครั้งตามนัดโดยหมอไม่เคยบอกว่าท้องนอกมดลูก ต่อมาวันที่ 7 ม.ค. 2556 เวลา 06.15 น. ปวดท้องคลอด จึงไปหาหมอที่ รพ.พระราม 2 ซึ่งมีอายุครรภ์ 36 สัปดาห์ พยาบาลให้นอนรอจนถึงเวลาประมาณ 11.00 น. หมอได้อัลตราซาวน์ดูครรภ์ และแจ้งว่าน้ำคล่ำเหลือน้อย จะรีบผ่าให้ช่วงบ่าย ขณะที่นอนรอผ่าคลอดตนรู้สึกเจ็บท้องมาก กดกริ่งเรียกพยาบาลเรียกหมอ ก็ไม่มีใครมาดูเลย ซึ่งตนได้เรียกอยู่หลายครั้งและรู้สึกเจ็บท้องมากขึ้นเรื่อยๆ จนเวลา 15.30 น. พยาบาลมาแจ้งว่าห้องผ่าคลอดยังไม่ว่าง ประมาณ 10 นาที พยาบาลมาบอกว่ารถนอนกำลังมารับไปห้องผ่าคลอด และให้ตนนอนรอในห้องผ่าคลอดเกือบ 30 นาที ตอนนั้นตนรู้สึกว่าลูกในท้องดิ้นน้อยลงและเบามากจนรู้สึกได้ ต่อมาเวลา 16.00 น. หมอทำการผ่าคลอดให้โดยการบ็อคหลังพอผ่าคลอดบุตรออกมา หมอบอกว่าเด็กท้องนอกมดลูก อาการของเด็ก 50-50 ให้พยาบาลรีบตามหมอเด็กมา แต่ตนไม่ได้ยินเสียงลูกร้องเลยซึ่งมีน้ำหนักแรกเกิด 2,600 กรัม ต่อมาเวลาประมาณ 18.00 น. หมอเด็กบอกว่าลูกอาการไม่ดีอาการไม่ตอบสนอง ปั้มหัวใจช่วยและใส่อ็อกชิเจนในการหายใจ ถึงรอดออกมาก็เป็นเจ้าชายนิทรา และหมอที่ผ่าคลอดก็ยังเอาสายรกออกให้ไม่หมดยังเกาะอยู่ที่กระเพาะปัสสาวะอยู่ ตนจึงได้สอบถามไปกับทางโรงพยาบาลว่าจะรับผิดชอบตนอย่างไรบ้าง ทางโรงพยาบาลอ้างว่าเป็นความผิดของคนไข้ที่ท้องนอกมดลูกเอง หลังจากนั้นวันที่ 10 ม.ค. 2556 ทางโรงพยาบาลให้ตนกลับบ้านได้ ส่วนลูกยังต้องอยู่ในความดูแลของหมอต่อ จากนั้นเวลา 14.50 น ทางโรงพยาบาลโทรศัพท์มาแจ้งตนว่าลูกเสียชีวิตแล้ว ตนและสามีจึงได้เดินทางไปที่โรงพยาบาล และได้พบพูดคุยกับผู้อำนวยการโรงพยาบาล ยืนยันว่าทางโรงพยาบาลไม่ผิดและจะไม่รับผิดชอบอะไรทั้งสิ้นมันเป็นกรรมของตน ที่ท้องนอกมดลูกเอง บาทเดียวก็จะไม่จ่ายให้ ด้วยความสงสัยการเสียชีวิตของบุตร ว่าก่อนหน้านี้หมอได้อัลตร้าซาวน์มา 3 ครั้ง แล้วแต่ทำไม่ถึงมองไม่เห็นว่าตนท้องนอกมดลูก ซึ่งตนก็มีร่างกายที่แข็งแรงดี และถ้าหมอผ่าคลอดให้กับตนเร็วกว่านี้หรือห้องผ่าไม่ว่างน่าจะส่งต่อไปที่โรงพยาบาลอื่นตนก็อาจจะไม่เสียลูกในครรภ์ไป จึงได้เข้าไปแจ้งความเพื่อขอศพบุตรไปชันสูตรที่ สถาบันนิติเวช รพ.ศิริราช เพื่อหาสาเหตุการตายที่แท้จริงอีกครั้ง หลังจากนั้นตนไม่กล้าที่จะเข้าไปรับการรักษาอีกจึงได้ไปขอประวัติการรักษา ที่โรงพยาบาลเพื่อที่จะได้นำไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลอื่นแต่ทาง รพ.พระราม2 ไม่ยอมให้โดยอ้างว่าประวัติการรักษาอยู่ในห้องผู้อำนวยการไม่สามารถเอาได้ ซึ่งตนเกรงว่ารกที่หมอนำอกไม่หมดจะเกิดการเนาจึงตัดสินใจเข้าร้องต่อมูลนิธิปวีณาฯช่วยเหลือ
รายที่ 3. นาย เอกสิทธิ์ มนูญผล อายุ 39 ปี แจ้งว่า ภรรยาของตน ชื่อ นาง ฮั่นเหมิง เซียง อายุ 38 ปี เป็นชาวจีน ได้พาเพื่อนไปที่ ศูนย์การแพทย์แห่งหนึ่งเพื่อทำกิ๊ฟ ระหว่างรอเพื่อน ภรรยาของตนได้โทรมาบอกว่า กำลังจะเข้าพบหมอคนหนึ่ง เพื่อเป่าท่อนำไข่ ผู้แจ้งจึงเกิดความเป็นห่วงภรรยา จึงได้ตามไปที่ศูนย์การแพทย์แห่งนั้น เมื่อไปถึงก็พบภรรยาของตน มีอาการหนักมากแล้ว หมอและพยาบาลกำลังทำการรักษา แต่ก็ไม่สามารถช่วยชีวิตไว้ได้ ทางศูนย์การแพทย์จึงได้ประสานรถกู้ภัยนำศพส่งโรงพยาบาลศิริราช ซึ่งตอนนั้นภรรยาของตนไม่มีสัญญาณชีพแล้ว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ ภรรยาของตนได้ไปตรวจสุขภาพประจำปีมา สุขภาพก็แข็งแรงดีไม่มีโรคประจำตัวใดๆทั้งนี้น่าจะเกิดจากความประมาทของแพทย์
รายที่ 4. น.ส.ยุพิน มีคุณ อายุ 30 ปี แจ้งว่า เมื่อวันที่ 30 ก ค.2555 ตนปวดท้องใกล้คลอดจึงได้เดินทางไปที่โรงพยาบาลบึงกาฬ เวลา 11.00 น. ได้ตรวจครรภ์พบว่าเด็กกลับหัวใกล้คลอดแล้ว เวลา 22.00 น.พยาบาลได้พาตนเข้าห้องคลอดแล้วบอกว่าให้พยามเบ่งตนก็ทำตามทุกอย่าง จนเวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงเด็กก็ยังไม่คลอด ตนจึงบอกพยาบาลให้หมอช่วยผ่าเด็กออกแต่กลับถูกพยาบาลดุว่าจะผ่าด้วยสาเหตุอะไร เด็กใกล้จะคลอดเองได้แล้ว พยาบาลก็ผลัดเปลี่ยนกันมากดท้องเพื่อช่วยให้เด็กคลอด แต่ทำอย่างไรเด็กก็ยังไม่คลอด จนเวลาผ่านไป 1 ชม.ครึ่ง พยาบาลจึงโทรหาหมอใหญ่ให้มาดู เมื่อหมอใหญ่มาเห็นก็ตกใจ แล้วบอกกับ พ่อ-แม่ของตนว่า ต้องทำการดูดเด็กออก เพราะตอนนี้อาการหนักทั้งแม่ทั้งลูก จากนั้นหมอก็ดูดเอาเด็กออกมาได้ เมื่อเด็กออกมาแล้วเด็กไม่ร้องไห้ ตัวเขียว ต้องใช้เครื่องออกซิเจนช่วยหายใจ แล้วส่งต่อไปรักษาที่โรงพยาบาลหนองคาย ทั้งนี้หมอบอกว่าให้ทำใจเด็กขาดออกซิเจนกินน้ำคร่ำและขี้เทาเข้าไปมาก
น.ส.ยุ พิน เล่าอีกว่า ลูกของตนต้องอยู่ในห้อง ICU เป็นเวลา 1 เดือนเต็มๆ จากที่จะได้ดูแลลูกอยู่ที่บ้านกลับต้องมาเฝ้าลูกที่โรงพยาบาล ขณะนี้ได้พาลูกไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลขอนแก่น ตรวจคลื่นสมองไฟฟ้า หมอบอกว่าเด็กสมองฝ่อ ตอนนี้ลูกอายุ 5 เดือนแล้ว ไม่ยิ้ม ไม่สบตา ไม่มองตามเสียง ตาลอย เอาแต่ร้องไห้อย่างเดียว แขน ขา และตัวเกร็ง ตลอดเวลา จนหลังคดงอ ต้องพาลูกไปโรงพยาบาลหนองคาย ทุกอาทิตย์เพื่อทำกายภาพบำบัด ก่อนหน้านี้ตนกับสามีเคยทำงานเป็นพนักงานโรงงานที่สมุทรปราการ แต่ตอนนี้ งานก็ไม่ได้ทำเงินก็ไม่มีที่จะพาลูกไปหาหมอ ต้องกู้เงินนอกระบบ ทุกวันนี้ไม่มีรายได้อะไรเลยต้องอาศัยบ้านพ่อ-แม่อยู่ถ้าตอนนั้นหมอมาเร็วกว่านี้ลูกของตนคงจะไม่เป็นเหมือนทุกวันนี้
ภายหลังรับแจ้ง นางปวีณา หงสกุล ประธาน “มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี” (องค์กรสาธารณประโยชน์) กล่าวว่า ได้ประสานไปยังนายแพทย์ประดิษฐ์ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณะสุข เพื่อขอให้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวและให้ความเป็นธรรมด้วยแก่ทุกฝ่าย และจะพาพาผู้เสียหายเข้าพบ นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณะสุข เพื่อขอให้ตรวจสอบเรื่องราวที่เกิดขึ้นอีกครั้ง เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ผู้เสียหายทั้งหมดต่อไป.
ขอบคุณ... http://www.thairath.co.th/content/edu/327497 (ขนาดไฟล์: 167)
ไทยรัฐออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 18 ก.พ.56
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
นางภัทราภรณ์ พุ่มบางแก้วพร้อมบุตรชายมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง เกร็ง ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เคราะห์ร้ายตาทั้ง 2 ข้างบอดสนิทนอนเป็นเจ้าชายนิทรา เข้าร้องทุกข์ นางปวีณา หงสกุล ประธาน “มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี” (องค์กรสาธารณประโยชน์) ผู้เสียหาย 4 ราย เดินทางเข้าร้องมูลนิธิปวีณาฯ ช่วยเหลือ หลังได้รับความสูญเสียจากการรักษาพยาบาลด้านนางปวีณาเร่งประสานงานไปยังรมว.สธ.ให้ตรวจสอบเรื่องราวที่เกิดขึ้น... เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 18 ก.พ.2556 ที่มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี (องค์กรสาธารณประโยชน์) เลขที่ 84/14 หมู่ 2 ถ.รังสิต-นครนายก (คลอง7) ต.ลำผักกูด อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิฯ เปิดเผยถึงรายละเอียดที่ผู้เสียหาย 4 ราย เข้าร้องทุกข์กับทางมูลนิธิปวีณาฯ ขอให้ช่วยตรวจสอบให้ความเป็นธรรม กรณีผลกระทบที่เกิดจากการเข้ารักษาตัว คลอดบุตรเสียชีวิต ลูกสำลักน้ำคร่ำระหว่างคลอดจนพิการทางสมอง เด็กฉีดวัคซีนแล้วพิการตาบอด เดินไม่ได้ รักษาการมีบุตรยากเสียชีวิต ราย ที่ 1. นางภัทราภรณ์ พุ่มบางแก้ว อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 207 ม.6 ต.คลองลานพัฒนา อ.คลองลาน จ.กำแพงเพชร แจ้งว่าบุตรชาย ด.ช.วันเฉลิม ทองอิน อายุ 3 ปี 7 เดือน ฉีดวัคซีนที่อนามัยคลองลาน จ.กำแพงเพชรแล้วกล้ามเนื้ออ่อนแรง เกร็ง ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เคราะห์ร้ายตาทั้ง 2 ข้างบอดสนิทนอนเป็นเจ้าชายนิทรา นางภัทราภรณ์ กล่าวว่า เมื่อ ปี 2552 ตนคลอดบุตรโดยการผ่าคลอดและใช้สิทธิบัตรทองที่ รพ.สวรรค์ประชารักษ์ จ.นครสวรรค์ เป็นบุตรเพศชายคนที่ 2 น้ำหนักแรกเกิด 2,360 กรัม มีสุขภาพที่แข็งแรงดีและฉีดวัคซีนตามระยะมาโดยตลอด ทุกครั้งหลังฉีดวัคซีนกลับมาจะมีไข้ ตัวร้อนประมาณ 2-3 วัน ลูกมีนิสัยร่าเริง ซุกซนตามประสาเด็กเรื่อยมา จนอายุ 9 เดือน กำลังหัดเดิน ถึงเวลาฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดและวัคซีนป้องกันไข้สมองอักเสบ กลับมามีไข้ ตัวร้อนและลูกชายเริ่มซึมลงเรื่อย ๆ จากนั้นก็เริ่มไม่เดิน ได้แต่นั่ง จากนั่งก็ได้แต่นอนและร่างกายไม่มีแรง จึงได้พาบุตรชายเข้าตรวจที่ รพ.กำแพงเพชร พร้อมทั้งสอบถามอาการของบุตรชายที่เป็นกับหมอเด็กกับรพ.พุทธชินราชจ.พิษณุโลก เบื้องต้นหมอแจ้งว่าน่าจะแพ้วัคซีน โดยให้ รพ.กำแพงเพชร ประสานกับ รพ.คลองลาน ให้นำอุจาระเด็กไปตรวจให้ครบ 3 ครั้ง จากนั้นหมอ รพ.กำแพงเพชร ได้ประสานกับ รพ.คลองลานและให้ตนนำบุตรชายกลับบ้านไปก่อน และนัดมาตรวจดูอาการอีก 1 เดือนต่อไป โดยบอกว่าจะมีหมอ รพ.คลองลาน เข้าไปติดต่อเก็บอุจจาระบุตรชายที่บ้านเอง จนผ่านไป 1 เดือน ก็ยังไม่มีใครติดต่อเข้ามา เมื่อถึงกำหนด รพ.กำแพงเพชร นัดไปดูอาการและสอบถามเกี่ยวกับผลอุจจาระแต่ทางรพ.คลองลานยังไม่มีใครเข้ามาติดต่อเลย ทาง รพ.กำแพงเพชรจึงแจ้งกับตนว่าให้รอไปก่อนเดี๋ยว รพ.คลองลาน คงจะติดต่อเข้าไป จนผ่านไปได้ 3 เดือน แล้วก็ยังไม่มี ซึ่ง หมอ รพ.กำแพงเพชร จึงบอกกับตนว่า ไม่เป็นไร ไม่ต้องตรวจก็ได้ เพราะมันนานเกิน 3 เดือนแล้ว หมอตรวจบุตรชายแล้วแจ้งว่า บุตรชายมีพัฒนาการช้า ให้พามาทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่อง จากนั้นอาการของบุตรชายเริ่มทรุดลงกว่าเดิม หมอจึงนำบุตรชายไปสแกนสมอง สงสัยว่าบุตรจะหัวโตและมีน้ำในสมอง แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ รพ.กำแพงเพชร จึงได้ส่งตัวบุตรชายไปรักษาต่อที่ รพ.พุทธชินราช จ.พิษณุโลก หมอได้นำบุตรชายตรวจ MRI และแจ้งว่าพบเซลล์ในสมองผิดปกติ แต่ไม่ทราบว่าเป็นเซลล์อะไรซึ่งจะมีอยู่ประมาณ20กว่าชนิดแต่ไม่มียารักษา ตนจึงขอให้ รพ.พุทธชินราช ส่งตัวบุตรชายไปตรวจที่ รพ.มหาราช จ.เชียงใหม่ ผลตรวจพบเซลล์ในสมองผิดปกติ และไม่มียารักษาเช่นกัน ตนจึงขอให้ รพ.มหาราช ส่งตัวบุตรชายมาตรวจที่ รพ.ศิริราช ดูว่าเป็นอะไรกันแน่ ทาง รพ.ศิริราช ได้ทำการตรวจใหม่ทั้งหมด และแจ้งว่าพบเซลล์ในสมอง ตนไม่ทราบว่าเซลล์อะไร ซึ่งไม่มียารักษาเช่นกัน และหมอยังบอกอีกว่า บุตรชายเป็นระยะสุดท้ายแล้วให้ตนทำใจ จากนั้นทาง รพ.ศิริราช ได้นำชิ้นเนื้อบริเวณแขนขวาของบุตรชายไปตรวจเพื่อหาสาเหตุอีก จนถึงปัจจุบันนี้ยังไม่ทราบผล และทุกวันนี้บุตรชายมีอาการทรุดหนักกว่าเดิม ต้องนอนให้นมทางสายยาง กินอาหารเองไม่ได้ เพราะสำลักทำให้ปอดติดเชื้อ ตนสงสารลูกมาก เงินที่หามาได้ก็นำมารักษาบุตรชายจนหมดตัว ส่วนสามีก็ทิ้งไปอีก หนำซ้ำล่าสุดยังตรวจพบว่า ตาทั้ง 2 ข้างของบุตรชายบอดสนิท ตนไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร จึงตัดสินใจเข้าร้องเรียนต่อมูลนิธิปวีณาฯช่วยเหลือ รายที่ 2. นางสาวชรินทร์พร วงค์หนายโกฏิ อายุ 28 ปี อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 101/61 ม.7 แขวงบางบอน เขตบางบอน กทม. แจ้งว่า เมื่อวันที่ 7 ม.ค. 2556 ได้ไปคลอดบุตรคนที่สองโดยการผ่าคลอด ที่ รพ.พระราม 2 แต่คลอดได้เพียง 3 วันแล้วบุตรเสียชีวิตลง รพ.อ้างว่าเป็นความผิดของ น.ส.ชรินทร์พร ที่ตั้งครรภ์นอกมดลูกเอง น.ส.ชรินทร์พร กล่าวว่า ตนตั้งครรภ์บุตรคนที่ 2 ซึ่งได้ฝากครรภ์ไว้กับ รพ.พระราม 2 หลังจากนั้นได้เข้ารับการตรวจที่ คลินิคเทียนทะเล ในเครือ รพ.พระราม 2 และไปพบแพทย์ทุกครั้งตามนัดโดยหมอไม่เคยบอกว่าท้องนอกมดลูก ต่อมาวันที่ 7 ม.ค. 2556 เวลา 06.15 น. ปวดท้องคลอด จึงไปหาหมอที่ รพ.พระราม 2 ซึ่งมีอายุครรภ์ 36 สัปดาห์ พยาบาลให้นอนรอจนถึงเวลาประมาณ 11.00 น. หมอได้อัลตราซาวน์ดูครรภ์ และแจ้งว่าน้ำคล่ำเหลือน้อย จะรีบผ่าให้ช่วงบ่าย ขณะที่นอนรอผ่าคลอดตนรู้สึกเจ็บท้องมาก กดกริ่งเรียกพยาบาลเรียกหมอ ก็ไม่มีใครมาดูเลย ซึ่งตนได้เรียกอยู่หลายครั้งและรู้สึกเจ็บท้องมากขึ้นเรื่อยๆ จนเวลา 15.30 น. พยาบาลมาแจ้งว่าห้องผ่าคลอดยังไม่ว่าง ประมาณ 10 นาที พยาบาลมาบอกว่ารถนอนกำลังมารับไปห้องผ่าคลอด และให้ตนนอนรอในห้องผ่าคลอดเกือบ 30 นาที ตอนนั้นตนรู้สึกว่าลูกในท้องดิ้นน้อยลงและเบามากจนรู้สึกได้ ต่อมาเวลา 16.00 น. หมอทำการผ่าคลอดให้โดยการบ็อคหลังพอผ่าคลอดบุตรออกมา หมอบอกว่าเด็กท้องนอกมดลูก อาการของเด็ก 50-50 ให้พยาบาลรีบตามหมอเด็กมา แต่ตนไม่ได้ยินเสียงลูกร้องเลยซึ่งมีน้ำหนักแรกเกิด 2,600 กรัม ต่อมาเวลาประมาณ 18.00 น. หมอเด็กบอกว่าลูกอาการไม่ดีอาการไม่ตอบสนอง ปั้มหัวใจช่วยและใส่อ็อกชิเจนในการหายใจ ถึงรอดออกมาก็เป็นเจ้าชายนิทรา และหมอที่ผ่าคลอดก็ยังเอาสายรกออกให้ไม่หมดยังเกาะอยู่ที่กระเพาะปัสสาวะอยู่ ตนจึงได้สอบถามไปกับทางโรงพยาบาลว่าจะรับผิดชอบตนอย่างไรบ้าง ทางโรงพยาบาลอ้างว่าเป็นความผิดของคนไข้ที่ท้องนอกมดลูกเอง หลังจากนั้นวันที่ 10 ม.ค. 2556 ทางโรงพยาบาลให้ตนกลับบ้านได้ ส่วนลูกยังต้องอยู่ในความดูแลของหมอต่อ จากนั้นเวลา 14.50 น ทางโรงพยาบาลโทรศัพท์มาแจ้งตนว่าลูกเสียชีวิตแล้ว ตนและสามีจึงได้เดินทางไปที่โรงพยาบาล และได้พบพูดคุยกับผู้อำนวยการโรงพยาบาล ยืนยันว่าทางโรงพยาบาลไม่ผิดและจะไม่รับผิดชอบอะไรทั้งสิ้นมันเป็นกรรมของตน ที่ท้องนอกมดลูกเอง บาทเดียวก็จะไม่จ่ายให้ ด้วยความสงสัยการเสียชีวิตของบุตร ว่าก่อนหน้านี้หมอได้อัลตร้าซาวน์มา 3 ครั้ง แล้วแต่ทำไม่ถึงมองไม่เห็นว่าตนท้องนอกมดลูก ซึ่งตนก็มีร่างกายที่แข็งแรงดี และถ้าหมอผ่าคลอดให้กับตนเร็วกว่านี้หรือห้องผ่าไม่ว่างน่าจะส่งต่อไปที่โรงพยาบาลอื่นตนก็อาจจะไม่เสียลูกในครรภ์ไป จึงได้เข้าไปแจ้งความเพื่อขอศพบุตรไปชันสูตรที่ สถาบันนิติเวช รพ.ศิริราช เพื่อหาสาเหตุการตายที่แท้จริงอีกครั้ง หลังจากนั้นตนไม่กล้าที่จะเข้าไปรับการรักษาอีกจึงได้ไปขอประวัติการรักษา ที่โรงพยาบาลเพื่อที่จะได้นำไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลอื่นแต่ทาง รพ.พระราม2 ไม่ยอมให้โดยอ้างว่าประวัติการรักษาอยู่ในห้องผู้อำนวยการไม่สามารถเอาได้ ซึ่งตนเกรงว่ารกที่หมอนำอกไม่หมดจะเกิดการเนาจึงตัดสินใจเข้าร้องต่อมูลนิธิปวีณาฯช่วยเหลือ รายที่ 3. นาย เอกสิทธิ์ มนูญผล อายุ 39 ปี แจ้งว่า ภรรยาของตน ชื่อ นาง ฮั่นเหมิง เซียง อายุ 38 ปี เป็นชาวจีน ได้พาเพื่อนไปที่ ศูนย์การแพทย์แห่งหนึ่งเพื่อทำกิ๊ฟ ระหว่างรอเพื่อน ภรรยาของตนได้โทรมาบอกว่า กำลังจะเข้าพบหมอคนหนึ่ง เพื่อเป่าท่อนำไข่ ผู้แจ้งจึงเกิดความเป็นห่วงภรรยา จึงได้ตามไปที่ศูนย์การแพทย์แห่งนั้น เมื่อไปถึงก็พบภรรยาของตน มีอาการหนักมากแล้ว หมอและพยาบาลกำลังทำการรักษา แต่ก็ไม่สามารถช่วยชีวิตไว้ได้ ทางศูนย์การแพทย์จึงได้ประสานรถกู้ภัยนำศพส่งโรงพยาบาลศิริราช ซึ่งตอนนั้นภรรยาของตนไม่มีสัญญาณชีพแล้ว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ ภรรยาของตนได้ไปตรวจสุขภาพประจำปีมา สุขภาพก็แข็งแรงดีไม่มีโรคประจำตัวใดๆทั้งนี้น่าจะเกิดจากความประมาทของแพทย์ รายที่ 4. น.ส.ยุพิน มีคุณ อายุ 30 ปี แจ้งว่า เมื่อวันที่ 30 ก ค.2555 ตนปวดท้องใกล้คลอดจึงได้เดินทางไปที่โรงพยาบาลบึงกาฬ เวลา 11.00 น.
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)