พิการหวังกินยาฆ่าตัวตาย คิดได้ทดแทนคุณผู้เป็นแม่

พิการหวังกินยาฆ่าตัวตาย คิดได้ทดแทนคุณผู้เป็นแม่

สัปดาห์นี้หนุ่มพิการเล่าอดีตเคยท้อ “ฆ่าตัวตาย” แต่คิดได้ต้องอยู่ทดแทนคุณผู้เป็นแม่ ทิ้งยาที่กำอยู่ในมือ ตั้งเป้าหมายลุกขึ้นสู้ทำงานเลี้ยงครอบครัว

เพราะการเลือก...ยางเปอร์เซ็นต์ราคาเพียงไม่กี่บาท!! ขณะวิ่งไปทำงานชีวิตกลับตาลปัตร เพื่อนรักต้องมา “ตายคาที่” ส่วนตัวเองเปลี่ยนจากคนร่างกายครบ 32 กลายเป็นคนนั่งวีลแชร์ตลอดชีวิต แต่วิบากกรรมก็ยังไม่สิ้นสุด ต้องป่วยไตวายจากยาที่กินอยู่เป็นประจำ เขาคิดว่าเหมือนชีวิตกำลังตายทั้งเป็น ตัดสินใจกำยากรอกปาก...ฆ่าตัวตาย

พิการหวังกินยาฆ่าตัวตาย คิดได้ทดแทนคุณผู้เป็นแม่

แต่เสี้ยวความตายหยุด “ธีราวัชร์ ฤทธ์รัฐพงษ์” หรือ “ต็อก” หนุ่มวัย 39 ปี ไว้ได้ด้วยสายตาที่เหลือบไปเห็นแม่กำลังนอนหลับ ซึ่งอ่อนเพลียจากการดิ้นรนขายของมาทั้งวัน เพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูและเป็นค่าใช้จ่ายในครัวเรือน แต่จังหวะนั้นน้ำตาที่คลอเบ้าอยู่เอ่อไหลเป็นสาย เสียงสะอื้นที่ถูกกดไว้เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ เขานึกย้อนเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต...พ่อกับแม่ต่างก็ดิ้นรนสู้ชีวิตมาไม่น้อยกว่าจะเลี้ยงดูจนเติบใหญ่

“ต็อก” ถามตัวเองว่า “ทำไมเราถึงจะตัดช่องน้อยแต่พอตัว กินยาที่กำอยู่ในมือเพื่อตายจากแม่ผู้เป็นที่รักไป” เขาจึงหยุดความคิด ทิ้งยาที่กำไว้ในมือและกดเสียงสะอื้นลงให้สุด พร้อมกับล้มตัวลงนอนจนผ่านคืนนั้นไปได้ โดยตั้งเป้าหมายว่าจะต้องลุกขึ้นสู้ชีวิตอีกสักครั้ง ซึ่งไม่เคยลืมว่าตัวเอง “พิการเดินไม่ได้” และมันจะต้องไม่ใช่อุปสรรคที่คอยรั้งชีวิตและฉุดกระชากจิตใจให้ดิ่งลงเหวอีกต่อไป

เดิมทีในวันที่ร่างกายของเขายังปกติ หนุ่มคนนี้เติบโตใน ต.ด่านขุนทด อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา กระทั่งอายุได้ 30 ปีต้นๆ กำลังมีชีวิตที่สดใส แม้จะประกอบเพียงอาชีพ “คนติดตั้งแอร์” ของบริษัทเอกชน แต่ก็สามารถหารายได้ดูแลตัวเองและพ่อแม่ไม่เดือดร้อนใคร

โดยลักษณะงานจะต้องเดินทางขับรถไปส่งแอร์ทั่วประเทศ จนวันหนึ่งสิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดก็มาถึง...ในปี 56 พ่อบังเกิดเกล้าล้มป่วยกะทันหัน เขาขอลากลับมาปรนนิบัติดูแลพ่ออย่างดีที่สุด แม้ระยะเวลาไม่นานนักพ่อก็จากไปอย่างสงบ แน่นอนความเสียใจเกิดขึ้น แต่เขาภาคภูมิใจอย่างน้อยได้อยู่เคียงข้างจนพ่อสิ้นลมหายใจสุดท้ายของชีวิต เมื่อจัดพิธีศพจนแล้วเสร็จ เขาก็ต้องกลับไปทำงานต่อและคิดเพียงว่าความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่นี้ จะช่วยเป็นพลังผลักดันให้ตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างหนัก เพื่อเก็บเงินและหาเลี้ยงแม่ในยามแก่ชราที่เหลือเพียงคนสุดท้าย

หลังจากนั้นไม่นานนัก บริษัทสั่งให้เดินทางไปทำงานที่จ.เพชรบุรี พร้อมกับเพื่อนรักที่ทำงานอีกคน ขณะที่เดินทางเกือบถึงจุดหมายที่ อ.แม่กลอง จ.สมุทรสงคราม จู่ๆ รถยนต์ยางระเบิดเสียงดังสนั่น ตัวรถไถลตกร่องกลางถนน กระทั่งผ่านไปชั่วขณะ “ต็อก” พยายามลุกขึ้น แต่แรงเหวี่ยงทำให้ตัวเขากระเด็นออกนอกรถประมาณ 30 ม. และพยายามร้องเรียกหาเพื่อนรัก แต่เมื่อมองตรงไปกลับพบว่า...มีบางสิ่งเสียบเข้าไปที่หัวของเพื่อนนอนแน่นิ่ง และทราบภายหลังว่าได้เสียเพื่อนรักคนนั้นไปแล้ว

พิการหวังกินยาฆ่าตัวตาย คิดได้ทดแทนคุณผู้เป็นแม่

พิการหวังกินยาฆ่าตัวตาย คิดได้ทดแทนคุณผู้เป็นแม่

หน่วยกู้ภัยฯ ในพื้นที่นำ “ต็อก” ส่ง รพ.แม่กลอง รักษาตัวนาน 3 เดือน โดยมีผู้เป็นแม่ปรนนิบัติพัดวีอย่างไม่ห่าง ส่วนโอกาสที่จะกลับมาเดินได้อีกครั้ง...แพทย์แจ้งว่า “ทำให้นะ มันเป็นศูนย์” เขาได้แต่คิดว่า “เราควรจะตายเสียดีกว่า ไม่อยากต้องเป็นภาระให้กับแม่ เพราะก็อายุมากแล้ว”

บ่อยครั้งที่เขาพยายามกลั้นน้ำตาเพื่อไม่ให้แม่เห็น จนเกือบ 7 เดือนแล้วที่ต้องกลายเป็นคนพิการ มันอดคิดไม่ได้ว่าตัวเองจะเป็นภาระให้กับแม่ จึงเป็นเหตุให้ตัดสินใจนำยาที่แพทย์ให้มา กำอยู่ในมือพร้อมจะกรอกเข้าปากเพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นจากการเป็นภาระของแม่ แต่เขาก็ก้าวข้ามรอดจาก “ความตาย” มาได้เพราะ...คำว่า “สติ”

เช้าวันรุ่งขึ้นมันเหมือนเป็นจุดเริ่มชีวิตให้พลิกผัน “จากร้ายกลายเป็นดี” เขามีพลังสู้ต่อ...หน่วยงานภาครัฐ สำนักงานประกันสังคม (สปส.) แนะนำให้เข้าไปที่ศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพคนงาน ประจำภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (จ.ขอนแก่น) ในขณะนั้นต็อกพร้อมกับวีลแชร์เพื่อนคู่ใจ ต้องออกเดินทางด้วยรถโดยสารท่ามกลางสายตาต่างๆ ที่จับจ้อง แต่ขณะเดียวกันคนไทยมีน้ำใจก็คอยช่วยพยุงและแบกวีลแชร์อำนวยความสะดวกให้จนถึงศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพคนงานฯ ตั้งใจเรียนระยะเวลา 7 เดือน จบหลักสูตรงานสำนักงาน (ความรู้ด้านไมโครซอฟต์ออฟฟิศ)

และที่สุดแห่งความปลื้มปิติที่สร้างพลังและกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ ครั้งหนึ่งในชีวิตได้เป็นตัวแทนเฝ้าฯ รับเสด็จ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมนำเสนอผลงานของแผนกหลักสูตรวิชาสาขางานสำนักงาน เนื่องในวันสถาปนาเปิดศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพคนงาน ประจำภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (จ.ขอนแก่น)

กระทั่งปี 59 โชคชะตาหรือฟ้าลิขิตให้ได้พบกับ ว่าที่ ร.อ.ดร.จตุรงค์ พงษ์ศิริ ผอ.รร.พงษ์ศิริวิทยา อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ด้วยความเห็นใจได้มอบโอกาสให้ทำงานที่โรงเรียน โดยการคีย์ข้อมูลการลา การทำผิดกฎระเบียบ การตัดคะแนนความประพฤติ การให้คะแนน ฯลฯ แก่เด็กๆ นักเรียน

โดยทำงานตั้งแต่จันทร์-ศุกร์ จากเงินเดือนเริ่มต้นที่ 3,000 บาท ซึ่งต็อกตั้งใจและขยันทำงานตามที่ได้ร่ำเรียนมาจวบจน 3 เดือนกลับต้องล้มป่วยอีกครั้ง แพทย์วินิจฉัยว่า “คุณมีอาการไตวาย...” สาเหตุเกิดจากผลข้างเคียงของการกินยามากเกินไป ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้เขาต้องเผชิญกับความท้อแท้อีกครั้ง ทั้งๆ ที่ชีวิตนี้คิดว่าหมดเวรกรรมไปแล้ว

ทาง ว่าที่ ร.อ.ดร.จตุรงค์ เมื่อทราบเรื่องราวไม่แล้ว ท่านไม่ได้สั่งให้ลาออก แต่กลับอนุญาตให้หนุ่มพิการรายนี้ ยังคงทำงานตามตำแหน่งเดิม แม้ร่างกายจะสู้ได้เพียง 3 วัน/สัปดาห์ในทุกวันนี้หนุ่มพิการที่ทุกคนขานนามว่า...ยอดนักสู้รายนี้ ก็ไม่เคยคิดฆ่าตัวตายอีกเลย และให้ข้อคิดแก่ทุกคนว่า “เราควรคิดได้ว่า ชีวิตยังมีค่าอีกมากมาย” แม้ทุกวันนี้ต็อกยังจะต้องเดินทางไปฟอกไตที่ รพ.มหาราชนครราชสีมา ครั้งละเกือบ 1,000 บาท แต่เขาก็เลือกที่จะสู้เพื่ออยู่รอดให้ได้

ปัจจุบันนี้ “ต็อก” ได้รับเงินเดือนจากการทำงานในอัตราเงินเดือน 8,600 บาท ซึ่งเงินเดือนจำนวนนี้เป็นส่วนสำคัญที่ใช้เป็นค่าใช้จ่ายภาระทางบ้าน ทั้งค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าอาหารอุปโภคบริโภค เพื่อตอบแทนบุญคุณของผู้เป็นแม่ที่ให้กำเนิดชีวิตได้เกิดมาบนโลกใบนี้.

ขอบคุณ... https://www.dailynews.co.th/article/664875

ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 9 ก.ย.61
วันที่โพสต์: 11/09/2561 เวลา 10:51:24 ดูภาพสไลด์โชว์ พิการหวังกินยาฆ่าตัวตาย คิดได้ทดแทนคุณผู้เป็นแม่