มาฆบูชา 'พุทธะ-พุทธเทียม' …การสวดมนต์ใช้คุณสมบัติของคลื่นบำบัดความเจ็บป่วย
เปลว สีเงิน
วันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ กลางเดือน 3 ปีมะโรง ตรงกับจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2556 เป็น "วันมาฆบูชา" พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้เองโดยชอบว่าเป็นที่พึ่ง ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ ซึ่งยังผู้ปฏิบัติตามให้พ้นทุกข์ได้จริงว่าเป็นที่พึ่ง สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์สาวกผู้ปฏิบัติดี-ปฏิบัติชอบตามคำสั่งสอนของพระองค์และเป็นผู้สืบต่อพระพุทธศาสนาว่าเป็นที่พึ่ง
พวกเราคนไทยเป็นผู้มีปัญญา เพราะได้เกิด-ได้อยู่-ได้อาศัยในแผ่นดินใต้ร่มเงาพระพุทธศาสนา อันได้ชื่อว่า "เป็นศาสนาของผู้มีปัญญา" ด้วยหลักกาลามสูตร ชัดเจนว่า พุทธศาสนาไม่กระหายได้ศิษย์มากๆ ไม่ต้องการมนุษย์โง่เขลา งมงาย ไร้เหตุ-ไร้ผล ไร้สติ-ปัญญามาเป็น "ปริมาณ" เสริมจำนวนพุทธบริษัทในลักษณะ"ตัวถ่วง-ตัวแทะ-ตัวทำลาย"
ฉะนั้น คนมีปัญญา คนมีสติ-สัมปชัญญะ คนมีเหตุ-มีผล ย่อมไม่หวั่นไหวกับความเป็นไปของเปลือกหุ้มแก่นที่พวกด้วง, พวกหนอน, พวกแมลง เกลือกอาศัยชอนไชหากิน ด้วยสามารถแยกแยะด้วยยกจิตเหนือกระพี้พุทธที่หมู่หนอนไชชอนอยู่ และด้วยจิตนั้น ย่อมทะลุถึงแก่นแกน "แดนพุทธภูมิ" อันสะอาด-สว่าง-สงบ ปลอดจากสัตว์ประเภทกินมูตร-คูถทั้งปวง ด้วยเหตุนั้น พุทธะ-พุทธแท้ ย่อมเข้าใจว่าพุทธศาสนานั้น แท้จริงแล้วไม่ได้อยู่ที่ทำบุญมาก หรืออยู่ที่กราบไหว้รูปเคารพ หรืออยู่ที่ทะเบียนสำมะโนครัวพุทธ นี่ตะหากที่เป็น "แก่น" ของความเป็น "พุทธะ-พุทธแท้"
สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง การไม่ทำความชั่วทั้งปวง, กุสะลัสสูปะสัมปะทา การทำกุศลให้ถึงพร้อม ทำแต่ความดี, สะจิตตะปะริโยทะปะนัง การชำระจิตของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใส, เอตัง พุทธานะ สาสะนัง ธรรมนี้ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
แก่นธรรมของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแต่ละพระองค์ไม่เคยเสื่อม ไม่เคยหายไปจากโลกนี้ มีแต่กิมิชาติ คือมนุษย์เท่านั้น ที่เสื่อมไป-หายไปจากพุทธะ "ด้วยโง่เขลา" เอง เอาละครับ...วันนี้ ขอนำเรื่องดีๆ ที่คุณ Hollland P. ฟอร์เวิร์ดให้ผมอ่านนานแล้ว เข้าใจว่าส่วนใหญ่ก็คงได้อ่านจาก นิตยสารชีวจิต เดือนมกรา 51 แล้วเช่นกัน ก็เอาเถอะ อ่านแสนครั้งก็ไม่มีความหมาย ถ้าไม่ปฏิบัติให้เห็นผล Vibrational Therapy: สวดมนต์บำบัด โดย: ชมนาด เชื่อหรือไม่ว่า หากเราสวดมนต์ (ไม่ว่าศาสนาใดก็ตาม) เพื่อให้ใครสักคนหายป่วย แม้จะอยู่ห่างกันคนละซีกโลก แต่พลังแห่งบทสวดนั้นจะเดินทางไปเยียวยาความเจ็บป่วยของเขาได้??? เพราะการสวดมนต์บำบัดทำให้เกิดทั้งคลื่นเสียงที่สามารถเดินทางลึกเข้าไปในสมอง และคลื่นไฟฟ้าที่ส่งกระจายไปในชั้นบรรยากาศไกลๆ ได้
การสวดมนต์บำบัด คือหลักการหนึ่งของ Vibrational Therapy หรือ Vibrational Medicine คือการใช้คุณสมบัติของคลื่นบางคลื่นมาบำบัดความเจ็บป่วย ซึ่งมีหลากหลายวิธี อาทิ เก้าอี้ไฟฟ้า เครื่องนวดต่างๆ ก็เป็น Vibrational Therapy เช่นกัน แต่เป็นคลื่นไฟฟ้าเชิงฟิสิกส์ที่เกิดจากสิ่งไม่มีชีวิต ต่างจากสวดมนต์บำบัด ซึ่งเป็นคลื่นที่เกิดจากสิ่งมีชีวิต ดังนั้น มาดูพลังแห่งการสวดมนต์บำบัดกัน ว่าคืออะไรและมีประโยชน์อย่างไร???
คลื่นแห่งการเยียวยา - การสวดมนต์ใช้หลักการทำให้เกิดคลื่นเสียงที่มีความสม่ำเสมอ เพื่อเข้าไปกระตุ้นร่างกายให้เกิดการเยียวยา ซึ่งหากคลื่นเสียงที่มากระทบดังแบบไร้ระเบียบ คือประกอบด้วยเสียงที่มีความถี่ต่างๆ กัน ก็ไม่เกิดประโยชน์ต่อการบำบัด กลไกดังกล่าวเริ่มต้นเมื่อหูของเราได้ยินเสียงบทสวด ก็จะส่งสัญญาณต่อไปยังศูนย์การได้ยินที่อยู่บริเวณสมองกลีบขมับ ก่อนส่งไปบริเวณก้านสมอง ซึ่งเมื่อได้รับคลื่นเสียงช้าๆ สม่ำเสมอประมาณ 15 นาที ก็จะหลั่งสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์มากมาย
เสียงสวดมนต์ด้วยสมาธิเป็นยา: ให้ผลกับร่างกายอเนกอนันต์ รองศาสตราจารย์ ดร.สมพร กันทรดุษฎี เตรียมชัยศรี หัวหน้าภาควิชาการพยาบาลสาธารณสุข คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายเพิ่มเติมดังนี้ “สมองของเราเมื่อได้รับการกระตุ้นด้วยคลื่นเสียงช้าๆ สม่ำเสมอประมาณ 15 นาทีขึ้นไป จะทำให้เซลล์ประสาทของระบบประสาทสมองสังเคราะห์สารสื่อประสาทหลายๆ ชนิด บริเวณก้านสมองจะหลั่งสารสื่อประสาทชื่อ ซีโรโทนิน (serotonin) เพิ่มขึ้น ซึ่งมีฤทธิ์คล้ายยานอนหลับ ช่วยการเรียนรู้ ลดความเครียด ลดอาการซึมเศร้า ลดระดับน้ำตาลในเลือด และเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์สารสื่อประสาทอื่นๆ เช่น เมลาโทนิน ซึ่งเปรียบคล้ายกับยาอายุวัฒนะ เพราะจะช่วยยืดอายุการทำงานของเซลล์ประสาท เซลล์ร่างกาย ให้ชีวิตยืนยาวขึ้น และยังมีคุณสมบัติช่วยให้นอนหลับ เพิ่มภูมิต้านทาน ทำให้เซลล์สดชื่นขึ้น รวมถึงโดปามีน มีฤทธิ์ลดความก้าวร้าวและอาการพาร์กินสัน อกจากนี้ ปริมาณของซีโรโทนินมีความสัมพันธ์ต่อการกระตุ้นการหลั่งสารสื่อประสาทอื่นๆ เช่น อะเซทิลโคลีน ช่วยในกระบวนการเรียนรู้และความจำ ช่วยขยายเส้นเลือด ทำให้ความดันลดลง และยังช่วยลดปริมาณอาร์กินิน วาโซเปรสซิน ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมความก้าวร้าว ความสมดุลของน้ำ และซีโรโทนินยังเข้าไปลดปริมาณของสารเคมีชนิดหนึ่งที่เป็นตัวกระตุ้นของการทำงานของต่อมหมวกไตให้ลดลง ส่งผลให้ระบบประสาทส่วนกลางทำงานน้อยลง ร่างกายจึงรู้สึกผ่อนคลาย ปลอดโปร่ง และไม่เครียด ภูมิต้านทานเพิ่มขึ้น” ดังนั้น จุดสำคัญจึงอยู่ที่ร่างกายจะสามารถสร้างสารสื่อประสาทได้หรือไม่
อาจารย์สมพรเสริมว่า “หลักการสำคัญอยู่ที่หากมีสิ่งเร้าหลายๆ ประเภทเข้ามารบกวนกระบวนการทำงานของคลื่นสมองพร้อมๆ กัน ทำให้สัญญาณคลื่นสมองเปลี่ยนไป การหลั่งสารสื่อประสาทจะสับสน ไม่มีผลในการเยียวยา สิ่งเร้านี้มาจากหลายส่วน ทั้งตัวเอง เช่น บางคนปากสวดมนต์ แต่คิดฟุ้งซ่านไปเรื่องอื่น ก็ไม่ได้ประโยชน์ และการเกิดเสียงดังอื่นๆ เข้ามารบกวนขณะสวดมนต์ เพราะประสาทสัมผัสของมนุษย์รับรู้ได้ไว และอ่อนไหวมาก เรามีตัวประสาทรับสัญญาณมากมาย เรารับสิ่งเร้าได้ทั้งจากทางปาก ตา หู จมูก การเคลื่อนไหว และใจ เหล่านี้ทำให้สัญญาณคลื่นสมองสับสนและเปลี่ยนไป ร่างกายก็จะสร้างซีโรโทนินได้ไม่มากพอ” และไม่ใช่เฉพาะสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์เท่านั้นที่เราจะได้จากการสวดมนต์ แต่การสวดมนต์ยังทำให้อวัยวะต่างๆ ได้รับการกระตุ้น คล้ายกับการนวดตัวเองจากการเปล่งเสียงสวดมนต์ สวดมนต์กระตุ้นอวัยวะ
อาจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต อธิบายหลักการนี้ว่า “เวลาเราสวดมนต์นานๆ คำแต่ละคำจะสร้างความสั่นสะเทือนไม่เท่ากันตามฐานที่เกิดของเสียงหรือตามวิธีเปล่งเสียง แม้ว่าเสียงจะออกมาจากปากเหมือนกัน แต่ว่าเสียงบางเสียงออกมาจากริมฝีปาก บางเสียงออกมาจากปุ่มเหงือก บางเสียงออกมาจากไรฟัน บางเสียงออกมาจากคอ ดังนั้น ถ้าเราสวดมนต์ถูกต้องตามฐานกรณ์จึงเกิดพลังของการสั่น” และเมื่อเกิดพลังของการสั่น การสั่นนี้จะเข้าไปเยียวยาอาการป่วยได้อย่างไร อาจารย์เสฐียรพงษ์อธิบายต่อว่า “เวลาเราสวดมนต์ เสียงสวดจะไปช่วยกระตุ้นต่อมต่างๆ ซึ่งจะช่วยปราบเชื้อโรคบางชนิด เช่นการวิจัยของฝรั่ง พบว่าอักษร A B C D จะช่วยกระตุ้นระบบน้ำย่อย ส่วนบทสวดมนต์ในพระพุทธศาสนา เสียงอักขระแต่ละตัวมีคำหนักเบาไม่เท่ากัน บางตัวสั่นสะเทือนมาก บางตัวสั่นสะเทือนน้อย ทำให้ต่อมต่างๆ ในร่างกายถูกกระตุ้น เมื่อต่อมที่ฝ่อถูกกระตุ้นบ่อยๆ เข้าก็คงคืนสภาพ อาการป่วยก็จะดีขึ้น”
นอกจากนี้ ยังมีบทความที่อธิบายเกี่ยวกับการฝึกเปล่งเสียงเพื่อรักษาโรคจากเสียงต่างๆ เช่น โอม....กระตุ้นหน้าผาก, ฮัม....กระตุ้นคอ, ยัม....กระตุ้นหัวใจ, ราม....กระตุ้นลิ้นปี่, วัม....กระตุ้นสะดือ, ลัม......กระตุ้นก้นกบ เป็นต้น แต่ที่สำคัญมากไปกว่านั้น การสวดมนต์ให้ประโยชน์ทางใจที่มีคุณค่ากับผู้สวด รองศาสตราจารย์จุฑาทิพย์ อุมะวิชนี ภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สรุปว่ามี 2 ข้อคือ 1.การสวดมนต์เป็นเครื่องช่วยให้เกิดสมาธิ โดยต้องสวดเสียงดัง ให้หูได้ยินเสียงตัวเอง และจิตใจต้องจดจ่ออยู่กับเสียงสวด เมื่อใจไม่ฟุ้งไปที่อื่น ใจอยู่กับเสียงเดียวจึงเกิดสมาธิ และ 2.ถ้าเข้าใจความหมายของบทสวดนั้นๆ จะทำให้เรามีความเลื่อมใสศรัทธา เพราะบทสวดของทุกศาสนาเป็นเรื่องของความดีงาม จิตใจก็จะสะอาดขึ้น บริสุทธิ์ขึ้น เป็นการยกระดับจิตใจของผู้สวด เมื่อร่างกายที่รับสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์และการกระตุ้นระบบอวัยวะต่างๆ ให้ทำงานเป็นปกติ เท่ากับว่าเราได้ผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ ย่อมทำให้ภูมิชีวิตดีขึ้นเป็นลำดับ ความป่วยก็จะดีขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยในต่างประเทศที่อาจารย์สมพรสรุปให้ฟังว่า การสวดมนต์ช่วยบำบัดอาการป่วยและโรคร้ายดังต่อไปนี้ 1.หัวใจ 2.ความดันโลหิตสูง 3.เบาหวาน 4.มะเร็ง 5.อัลไซเมอร์ 6.ซึมเศร้า 7.ไมเกรน 8.ออทิสติก 9.ย้ำคิดย้ำทำ 10.โรคอ้วน 11.นอนไม่หลับ 12.พาร์กินสัน
สวดมนต์อย่างไรให้หายจากโรค...สวดมนต์บำบัดมีวิธีการและจุดประสงค์ที่หลากหลาย สรุปได้ 3 แบบ 1.การสวดมนต์ด้วยตัวเอง....เป็นการเหนี่ยวนำตัวเอง จึงเป็นที่มาของคำว่า Prayer Therapy ถือเป็นวิธีการที่ดีที่สุด เพราะหากใครสักคนคิดที่จะสวดมนต์ นั่นหมายความว่าเขากำลังมีความปรารถนาดีต่อตนเอง วิธีการที่อาจารย์สมพรแนะนำคือ -ควรสวดด้วยตัวเอง และไม่ควรสวดมนต์หลังกินอาหารทันที ควรทิ้งช่วงให้ร่างกายเริ่มผ่อนคลาย อาจเป็นเวลาก่อนเข้านอน-หาสถานที่ที่สงบเงียบ -สวดบทสั้นๆ 3-4 พยางค์ โดยใช้เวลาประมาณ 10-15 นาทีขึ้นไป จะทำให้ร่างกายได้หลั่งสารซีโรโทนิน แต่หากสวดมนต์ด้วยบทยาวๆ จะได้ความผ่อนคลายและความศรัทธา -ขณะสวดมนต์ให้หลับตา สวดให้เกิดเสียงดังเพื่อให้ตัวเองได้ยิน 2.การฟังผู้อื่นสวดมนต์....เป็นการเหนี่ยวนำโดยคลื่นเสียงจากผู้อื่น เช่น การฟังเสียงพระสวดมนต์ เสียงผู้นำสวดในศาสนาต่างๆ หากผู้สวดมีสมาธิ เสียงสวดนั้นจะนุ่ม ทุ้ม ทำให้เกิดคลื่นที่ช่วยเยียวยา (healing) ผู้ฟัง แต่หากผู้สวดไม่มีสมาธิ ไม่มีความเมตตา เสียงสวดที่เกิดขึ้นอาจเป็นคลื่นขึ้นๆ ลงๆ นอกจากจะไม่ช่วยเยียวยาอาการป่วย อาจทำให้เสียสุขภาพได้ และ 3.การสวดมนต์ให้ผู้อื่น....ปรากฏการณ์มากมายที่เราเห็นในสังคม เมื่อใครสักคนเจ็บป่วย เรามักสวดมนต์อธิษฐานขอให้ความเจ็บป่วยของเขาหายไป บางครั้งอยู่ห่างกันคนละซีกโลก เสียงสวดมนต์เหล่านี้จะมีผลทำให้สุขภาพเขาดีขึ้นจริงหรือไม่ อาจารย์สมพรอธิบายดังนี้ คลื่นสวดมนต์เป็นคลื่นบวก เพราะเกิดจากจิตใจที่ดีงาม ปรารถนาดีต่อผู้ป่วย และเมื่อเราคิดจะส่งสัญญาณนี้ออกไปสู่ที่ไกลๆ มันจะเดินทางไปในรูปของคลื่นไฟฟ้า ซึ่งมนุษย์มีเซลล์สมองที่สามารถส่งสัญญาณคลื่นไฟฟ้าและสารเคมีได้ถึงสิบยกกำลังสิบ คลื่นนี้จึงเดินทางไปได้ไกลๆ บางทีพ่อกำลังป่วยหนักอยู่ที่นี่ แต่ลูกอยู่ต่างประเทศก็สามารถรับคลื่นนี้ได้ และรู้ว่ามีใครกำลังไม่สบาย ที่เราเรียกว่าลางสังหรณ์ หรือสัมผัสที่หก
การรับรู้ได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับผู้รับ-ผู้ส่งด้วย ถ้าคนไหนรับสัญญาณคลื่นแห่งบทสวดมนต์ได้จึงได้ผล เหมือนเราเปิดวิทยุ ถ้าคนฟังปิดหูก็จะไม่ได้ยิน ดังนั้น ถ้าต่างฝ่ายต่างเปิดรับคลื่นบวกที่เราส่งไป ผู้ป่วยก็จะได้รับ และทำให้อาการป่วยดีขึ้นได้ ไม่ใช่เรื่องของความมหัศจรรย์ แต่เป็นหลักธรรมชาติทั่วไป ...ก็ พุทธานุภาเวนะ ธัมมานุภาเวนะ สังฆานุภาเวนะ สทา โสตถี ภวันตุ เต ด้วยพุทธานุภาพ ด้วยธัมมานุภาพ ด้วยสังฆานุภาพ ขอความสวัสดีทั้งหลาย จงมีแก่ทุกท่าน-ทุกเมื่อ เทอญ.
ขอบคุณ... http://www.thaipost.net/news/250213/70075 (ขนาดไฟล์: 167)
ไทยโพสต์ออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 24 ก.พ.56
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
เปลว สีเงิน วันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ กลางเดือน 3 ปีมะโรง ตรงกับจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2556 เป็น "วันมาฆบูชา" พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้เองโดยชอบว่าเป็นที่พึ่ง ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ ซึ่งยังผู้ปฏิบัติตามให้พ้นทุกข์ได้จริงว่าเป็นที่พึ่ง สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์สาวกผู้ปฏิบัติดี-ปฏิบัติชอบตามคำสั่งสอนของพระองค์และเป็นผู้สืบต่อพระพุทธศาสนาว่าเป็นที่พึ่ง พวกเราคนไทยเป็นผู้มีปัญญา เพราะได้เกิด-ได้อยู่-ได้อาศัยในแผ่นดินใต้ร่มเงาพระพุทธศาสนา อันได้ชื่อว่า "เป็นศาสนาของผู้มีปัญญา" ด้วยหลักกาลามสูตร ชัดเจนว่า พุทธศาสนาไม่กระหายได้ศิษย์มากๆ ไม่ต้องการมนุษย์โง่เขลา งมงาย ไร้เหตุ-ไร้ผล ไร้สติ-ปัญญามาเป็น "ปริมาณ" เสริมจำนวนพุทธบริษัทในลักษณะ"ตัวถ่วง-ตัวแทะ-ตัวทำลาย" ฉะนั้น คนมีปัญญา คนมีสติ-สัมปชัญญะ คนมีเหตุ-มีผล ย่อมไม่หวั่นไหวกับความเป็นไปของเปลือกหุ้มแก่นที่พวกด้วง, พวกหนอน, พวกแมลง เกลือกอาศัยชอนไชหากิน ด้วยสามารถแยกแยะด้วยยกจิตเหนือกระพี้พุทธที่หมู่หนอนไชชอนอยู่ และด้วยจิตนั้น ย่อมทะลุถึงแก่นแกน "แดนพุทธภูมิ" อันสะอาด-สว่าง-สงบ ปลอดจากสัตว์ประเภทกินมูตร-คูถทั้งปวง ด้วยเหตุนั้น พุทธะ-พุทธแท้ ย่อมเข้าใจว่าพุทธศาสนานั้น แท้จริงแล้วไม่ได้อยู่ที่ทำบุญมาก หรืออยู่ที่กราบไหว้รูปเคารพ หรืออยู่ที่ทะเบียนสำมะโนครัวพุทธ นี่ตะหากที่เป็น "แก่น" ของความเป็น "พุทธะ-พุทธแท้" สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง การไม่ทำความชั่วทั้งปวง, กุสะลัสสูปะสัมปะทา การทำกุศลให้ถึงพร้อม ทำแต่ความดี, สะจิตตะปะริโยทะปะนัง การชำระจิตของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใส, เอตัง พุทธานะ สาสะนัง ธรรมนี้ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย แก่นธรรมของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแต่ละพระองค์ไม่เคยเสื่อม ไม่เคยหายไปจากโลกนี้ มีแต่กิมิชาติ คือมนุษย์เท่านั้น ที่เสื่อมไป-หายไปจากพุทธะ "ด้วยโง่เขลา" เอง เอาละครับ...วันนี้ ขอนำเรื่องดีๆ ที่คุณ Hollland P. ฟอร์เวิร์ดให้ผมอ่านนานแล้ว เข้าใจว่าส่วนใหญ่ก็คงได้อ่านจาก นิตยสารชีวจิต เดือนมกรา 51 แล้วเช่นกัน ก็เอาเถอะ อ่านแสนครั้งก็ไม่มีความหมาย ถ้าไม่ปฏิบัติให้เห็นผล Vibrational Therapy: สวดมนต์บำบัด โดย: ชมนาด เชื่อหรือไม่ว่า หากเราสวดมนต์ (ไม่ว่าศาสนาใดก็ตาม) เพื่อให้ใครสักคนหายป่วย แม้จะอยู่ห่างกันคนละซีกโลก แต่พลังแห่งบทสวดนั้นจะเดินทางไปเยียวยาความเจ็บป่วยของเขาได้??? เพราะการสวดมนต์บำบัดทำให้เกิดทั้งคลื่นเสียงที่สามารถเดินทางลึกเข้าไปในสมอง และคลื่นไฟฟ้าที่ส่งกระจายไปในชั้นบรรยากาศไกลๆ ได้ การสวดมนต์บำบัด คือหลักการหนึ่งของ Vibrational Therapy หรือ Vibrational Medicine คือการใช้คุณสมบัติของคลื่นบางคลื่นมาบำบัดความเจ็บป่วย ซึ่งมีหลากหลายวิธี อาทิ เก้าอี้ไฟฟ้า เครื่องนวดต่างๆ ก็เป็น Vibrational Therapy เช่นกัน แต่เป็นคลื่นไฟฟ้าเชิงฟิสิกส์ที่เกิดจากสิ่งไม่มีชีวิต ต่างจากสวดมนต์บำบัด ซึ่งเป็นคลื่นที่เกิดจากสิ่งมีชีวิต ดังนั้น มาดูพลังแห่งการสวดมนต์บำบัดกัน ว่าคืออะไรและมีประโยชน์อย่างไร??? คลื่นแห่งการเยียวยา - การสวดมนต์ใช้หลักการทำให้เกิดคลื่นเสียงที่มีความสม่ำเสมอ เพื่อเข้าไปกระตุ้นร่างกายให้เกิดการเยียวยา ซึ่งหากคลื่นเสียงที่มากระทบดังแบบไร้ระเบียบ คือประกอบด้วยเสียงที่มีความถี่ต่างๆ กัน ก็ไม่เกิดประโยชน์ต่อการบำบัด กลไกดังกล่าวเริ่มต้นเมื่อหูของเราได้ยินเสียงบทสวด ก็จะส่งสัญญาณต่อไปยังศูนย์การได้ยินที่อยู่บริเวณสมองกลีบขมับ ก่อนส่งไปบริเวณก้านสมอง ซึ่งเมื่อได้รับคลื่นเสียงช้าๆ สม่ำเสมอประมาณ 15 นาที ก็จะหลั่งสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์มากมาย เสียงสวดมนต์ด้วยสมาธิเป็นยา: ให้ผลกับร่างกายอเนกอนันต์ รองศาสตราจารย์ ดร.สมพร กันทรดุษฎี เตรียมชัยศรี หัวหน้าภาควิชาการพยาบาลสาธารณสุข คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายเพิ่มเติมดังนี้ “สมองของเราเมื่อได้รับการกระตุ้นด้วยคลื่นเสียงช้าๆ สม่ำเสมอประมาณ 15 นาทีขึ้นไป จะทำให้เซลล์ประสาทของระบบประสาทสมองสังเคราะห์สารสื่อประสาทหลายๆ ชนิด บริเวณก้านสมองจะหลั่งสารสื่อประสาทชื่อ ซีโรโทนิน (serotonin) เพิ่มขึ้น ซึ่งมีฤทธิ์คล้ายยานอนหลับ ช่วยการเรียนรู้ ลดความเครียด ลดอาการซึมเศร้า ลดระดับน้ำตาลในเลือด และเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์สารสื่อประสาทอื่นๆ เช่น เมลาโทนิน ซึ่งเปรียบคล้ายกับยาอายุวัฒนะ เพราะจะช่วยยืดอายุการทำงานของเซลล์ประสาท เซลล์ร่างกาย ให้ชีวิตยืนยาวขึ้น และยังมีคุณสมบัติช่วยให้นอนหลับ เพิ่มภูมิต้านทาน ทำให้เซลล์สดชื่นขึ้น รวมถึงโดปามีน มีฤทธิ์ลดความก้าวร้าวและอาการพาร์กินสัน อกจากนี้ ปริมาณของซีโรโทนินมีความสัมพันธ์ต่อการกระตุ้นการหลั่งสารสื่อประสาทอื่นๆ เช่น อะเซทิลโคลีน ช่วยในกระบวนการเรียนรู้และความจำ ช่วยขยายเส้นเลือด ทำให้ความดันลดลง และยังช่วยลดปริมาณอาร์กินิน วาโซเปรสซิน ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมความก้าวร้าว ความสมดุลของน้ำ และซีโรโทนินยังเข้าไปลดปริมาณของสารเคมีชนิดหนึ่งที่เป็นตัวกระตุ้นของการทำงานของต่อมหมวกไตให้ลดลง ส่งผลให้ระบบประสาทส่วนกลางทำงานน้อยลง ร่างกายจึงรู้สึกผ่อนคลาย ปลอดโปร่ง และไม่เครียด ภูมิต้านทานเพิ่มขึ้น” ดังนั้น จุดสำคัญจึงอยู่ที่ร่างกายจะสามารถสร้างสารสื่อประสาทได้หรือไม่ อาจารย์สมพรเสริมว่า “หลักการสำคัญอยู่ที่หากมีสิ่งเร้าหลายๆ ประเภทเข้ามารบกวนกระบวนการทำงานของคลื่นสมองพร้อมๆ กัน ทำให้สัญญาณคลื่นสมองเปลี่ยนไป การหลั่งสารสื่อประสาทจะสับสน ไม่มีผลในการเยียวยา สิ่งเร้านี้มาจากหลายส่วน ทั้งตัวเอง เช่น บางคนปากสวดมนต์ แต่คิดฟุ้งซ่านไปเรื่องอื่น ก็ไม่ได้ประโยชน์ และการเกิดเสียงดังอื่นๆ เข้ามารบกวนขณะสวดมนต์ เพราะประสาทสัมผัสของมนุษย์รับรู้ได้ไว และอ่อนไหวมาก เรามีตัวประสาทรับสัญญาณมากมาย เรารับสิ่งเร้าได้ทั้งจากทางปาก ตา หู จมูก การเคลื่อนไหว และใจ เหล่านี้ทำให้สัญญาณคลื่นสมองสับสนและเปลี่ยนไป ร่างกายก็จะสร้างซีโรโทนินได้ไม่มากพอ” และไม่ใช่เฉพาะสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์เท่านั้นที่เราจะได้จากการสวดมนต์ แต่การสวดมนต์ยังทำให้อวัยวะต่างๆ ได้รับการกระตุ้น คล้ายกับการนวดตัวเองจากการเปล่งเสียงสวดมนต์ สวดมนต์กระตุ้นอวัยวะ อาจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต อธิบายหลักการนี้ว่า “เวลาเราสวดมนต์นานๆ คำแต่ละคำจะสร้างความสั่นสะเทือนไม่เท่ากันตามฐานที่เกิดของเสียงหรือตามวิธีเปล่งเสียง แม้ว่าเสียงจะออกมาจากปากเหมือนกัน แต่ว่าเสียงบางเสียงออกมาจากริมฝีปาก บางเสียงออกมาจากปุ่มเหงือก บางเสียงออกมาจากไรฟัน บางเสียงออกมาจากคอ ดังนั้น ถ้าเราสวดมนต์ถูกต้องตามฐานกรณ์จึงเกิดพลังของการสั่น” และเมื่อเกิดพลังของการสั่น การสั่นนี้จะเข้าไปเยียวยาอาการป่วยได้อย่างไร อาจารย์เสฐียรพงษ์อธิบายต่อว่า “เวลาเราสวดมนต์ เสียงสวดจะไปช่วยกระตุ้นต่อมต่างๆ ซึ่งจะช่วยปราบเชื้อโรคบางชนิด เช่นการวิจัยของฝรั่ง พบว่าอักษร A B C D จะช่วยกระตุ้นระบบน้ำย่อย ส่วนบทสวดมนต์ในพระพุทธศาสนา เสียงอักขระแต่ละตัวมีคำหนักเบาไม่เท่ากัน บางตัวสั่นสะเทือนมาก บางตัวสั่นสะเทือนน้อย ทำให้ต่อมต่างๆ ในร่างกายถูกกระตุ้น เมื่อต่อมที่ฝ่อถูกกระตุ้นบ่อยๆ เข้าก็คงคืนสภาพ อาการป่วยก็จะดีขึ้น” นอกจากนี้ ยังมีบทความที่อธิบายเกี่ยวกับการฝึกเปล่งเสียงเพื่อรักษาโรคจากเสียงต่างๆ เช่น โอม....กระตุ้นหน้าผาก, ฮัม....กระตุ้นคอ, ยัม....กระตุ้นหัวใจ, ราม....กระตุ้นลิ้นปี่, วัม....กระตุ้นสะดือ, ลัม......กระตุ้นก้นกบ เป็นต้น แต่ที่สำคัญมากไปกว่านั้น การสวดมนต์ให้ประโยชน์ทางใจที่มีคุณค่ากับผู้สวด รองศาสตราจารย์จุฑาทิพย์ อุมะวิชนี ภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สรุปว่ามี 2 ข้อคือ 1.การสวดมนต์เป็นเครื่องช่วยให้เกิดสมาธิ โดยต้องสวดเสียงดัง ให้หูได้ยินเสียงตัวเอง และจิตใจต้องจดจ่ออยู่กับเสียงสวด เมื่อใจไม่ฟุ้งไปที่อื่น ใจอยู่กับเสียงเดียวจึงเกิดสมาธิ และ 2.ถ้าเข้าใจความหมายของบทสวดนั้นๆ จะทำให้เรามีความเลื่อมใสศรัทธา เพราะบทสวดของทุกศาสนาเป็นเรื่องของความดีงาม จิตใจก็จะสะอาดขึ้น บริสุทธิ์ขึ้น เป็นการยกระดับจิตใจของผู้สวด เมื่อร่างกายที่รับสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์และการกระตุ้นระบบอวัยวะต่างๆ ให้ทำงานเป็นปกติ เท่ากับว่าเราได้ผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ ย่อมทำให้ภูมิชีวิตดีขึ้นเป็นลำดับ ความป่วยก็จะดีขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยในต่างประเทศที่อาจารย์สมพรสรุปให้ฟังว่า
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)