ยุคนี้ความสุขจางหาย 'รักเป็น-รักได้' คนไทย 'ไม่รักตัวเอง'
เมืองไทยคนไทยในยุคปัจจุบัน ถือได้ว่าก้าวทันวัตถุใหม่ ๆ ก้าวทันเทคโนโลยีทันสมัยไม่แพ้ชาติไหน ๆ เพราะเมื่อมีวัตถุอะไรใหม่ ๆ ออกมาเมื่อไหร่ ไม่ทันไรก็ได้เห็นคนไทยมี มีเทคโนโลยีอะไรใหม่ ๆ ออกมาเมื่อไหร่ ไม่ทันไรก็ได้เห็นคนไทยใช้ ซึ่งกับคนที่มีความพร้อมเพียงพอ นั่นก็ว่ากันไป แต่กับคนที่อยากได้ใคร่มี ใคร่ได้ใช้ กับเขาบ้าง โดยที่ตนเองยังไม่มีความพร้อมพอ นี่อาจจะต้องไตร่ตรองให้ดี ๆ เสียก่อน เพราะดีไม่ดีอาจจะทุกข์หนัก
ยอมเป็นหนี้ก้อนโตด้วยข้ออ้าง...ให้รางวัลตัวเองดูคล้ายว่า “รักตัวเอง” แต่...จริง ๆ อาจให้ทุกข์?? ทั้งนี้... ความสามารถในการที่จะรู้จักความสุขของผู้คนในสังคมไทยนั้น กำลังหายไป ซึ่งคำว่าหาความสุข กับคำว่ามีความสุข นั้นแตกต่างกัน แต่ปัจจุบันหลาย ๆ คนก็ยอมทำทุกอย่าง ยอมเป็นทุกอย่าง เพียงเพื่อที่จะได้ซื้อสิ่งที่คิดกันว่าเป็นความสุข เพราะหลงเข้าใจกันไปว่าความสุขก็คือการได้มี หรือได้มา ซึ่งสิ่งนั้นสิ่งนี้ ทั้งที่จริง ๆ แล้วไม่ใช่” .นี่เป็นส่วนหนึ่งจากการระบุของทางโรงพยาบาลมนารมย์ โรงพยาบาลเอกชนที่เป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านการดูแลรักษาปัญหาทางจิตเวช พฤติกรรม และรวมถึงส่งเสริมด้านสุขภาพจิต
นี่เป็นการระบุที่คนไทยน่าจะได้ลองพิจารณากัน ซึ่งเพราะเป้าหมายสูงสุดในชีวิตที่แท้จริงของมนุษย์ทุกคนคือ “ความสุข” แต่ด้วยเหตุที่คำว่าความสุขมีลักษณะเป็นนามธรรม แต่ละคนจึงอาจตีความความหมายของความสุขแตกต่างกันออกไป จนอาจจะ มีชีวิตที่เอาแต่ดิ้นรนเพื่อจะหาความสุข โดยที่ชีวิตไม่มีความสุข
“ความสุขที่แท้จริงนั้น มาจากการให้อาหารใจเป็น ด้วยการรักตัวเองเป็น และรักตัวเองได้ ยอมรับตัวเองเป็น และยอมรับตัวเองได้” ...นี่เป็นการระบุของ ศ.พญ.นงพงา ลิ้มสุวรรณ ที่ปรึกษาโรงพยาบาลมนารมย์ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตเวชเด็กวัยรุ่นและครอบครัว ซึ่งได้มีการออกแบบกระบวนการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ “ซาเทียร์ : แปรเปลี่ยนและเติบโตสู่ความมั่นคงภายใน (Self Development)” โดยจะมีการจัดอบรมในวันที่ 23-24 มี.ค. 2556 ซึ่งรายละเอียดตรวจสอบได้จากเว็บไซต์ http://www.manaron.com (ขนาดไฟล์: 0 )
ก่อนหน้านี้ทาง “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ได้เคยสะท้อนเรื่องการ “อาบน้ำใจ” ที่เป็นคำแนะนำของ นพ.ไกรสิทธิ์ นฤขัตพิชัย กรรมการผู้จัดการโรงพยาบาลมนารมย์ โดยหลักใหญ่ใจความคือ...สุขภาพจิตก็สำคัญไม่แพ้สุขภาพกาย ร่างกายต้องการการอาบน้ำชำระล้างเพื่อให้สุขภาพดี จิตใจก็เช่นกัน ก็จำเป็นต้องมีการอาบน้ำใจซึ่งหมายถึงการใส่ใจดูแลสุขภาพจิต และก็เคยสะท้อนเรื่อง “อาหารใจของเด็ก” โดยคำแนะนำของ ศ.พญ.นงพงา ซึ่งหมายถึงการปูพื้นฐานด้านจิตใจที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต สร้างภูมิคุ้มกันทางจิตใจให้เด็ก ๆอาบน้ำใจ อาหารใจ ยุคปัจจุบันยิ่งเป็นสิ่งที่ควรต้องสนใจ และกับการ “ให้อาหารใจผู้ใหญ่-ให้อาหารใจตัวเอง” ที่ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชระบุว่า “ต้องให้...ให้เป็น” นี่ก็ควรต้องสนใจใส่ใจเช่นกัน!!และกับเรื่องนี้
ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชขยายความไว้ว่า...ตามหลักจิตวิทยาของ “ซาเทียร์” นักจิตวิทยาชาวอเมริกันที่ค้นพบแนวทางสร้างความมั่นคงภายในจิตใจที่จะนำมาซึ่งความสุข ระบุว่า ’หนทางเริ่มต้นการค้นพบความสุขนั้น จะต้องเริ่มต้นที่ตัวเองก่อน“ ซึ่งนี่เป็นหลักที่เข้าใกล้ธรรมชาติของมนุษย์มากที่สุด และมีความคล้ายคลึงกับหลักธรรมคำสอนตามแนวทางพระพุทธศาสนา และหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
สังคมไทยปัจจุบัน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ กำลังถูกกระแสสังคม กระแสวัตถุนิยม พัดพาไปอย่างไร้จุดยืน หลายคนอยากมี อยากเป็น เหมือนดารา เหมือนคนดังในสังคม เหมือนคนอื่น ซึ่งถือว่าเป็นปัญหา นี่คือการไม่ยอมรับตัวเอง ไม่รักตัวเอง สังคมไทยทุกวันนี้ผู้คนยอมรับตัวเองไม่ค่อยได้ ซึ่งถ้ามีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับตัวเอง ไม่ชอบตัวเอง หงุดหงิดตลอดเวลา ก็ไม่มีทางที่จะมีความสุขได้
ทั้งนี้ กับแนวทางแก้ปัญหาความสุขที่จางหายไปนั้น ศ.พญ.นงพงา ระบุว่า... สำคัญคือต้องรู้จักให้อาหารใจตัวเองเป็น รักตัวเองเป็น รักตัวเองได้ ยอมรับตัวเองเป็น ยอมรับตัวเองได้ ทั้งในแง่ดีและไม่ดี ต้องรักและยอมรับตัวเองอย่างที่เป็นอยู่ให้ได้ก่อน จึงจะเริ่มต้นพัฒนาตนเองได้ เริ่มจากการเห็นคุณค่าตัวเองว่ามีดีพอ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าถือดีว่าวิเศษกว่าใคร แต่ต้องตั้งใจที่จะเห็นความสำคัญของตนเอง เห็นความดีและคุณค่าในตัวของตัวเอง เมื่อสามารถเห็นความดีและคุณค่าในตัวเองได้ ก็จะสามารถเห็นความดีและคุณค่าในตัวคนอื่นได้ แล้วก็จะไม่ไปเบียดเบียนใคร และสามารถเอื้อเฟื้อหรือถ่ายทอดความอ่อนโยนไปสู่คนอื่น ๆ ได้ด้วย
ตามหลักของซาเทียร์ ต้องรู้จักตัวเอง รู้จักว่าตัวเองมีคุณค่าดีพอ เมื่อสามารถยอมรับตัวเองได้ ก็จะมีความเป็นอิสระ สามารถตัดสินใจเอง ใช้ชีวิตได้สอดคล้องกลมกลืนกับตัวเอง กับคนอื่น และกับบริบท โดยที่ ไม่ขัดแย้งกับตัวเอง คนอื่น สังคม และเมื่อได้รับการพัฒนาตนเอง เกิดความมั่นคงในจิตใจ ก็จะมีความสุขขึ้น…’รักตัวเอง“ ก็ดูคล้ายว่าจะมีถมเถไปในสังคมไทย …แต่ ’ความสุขในสังคมไทย“ ก็คล้ายกำลังจางลง คงเพราะ ’รักได้และรักเป็น“ มีน้อยลงทุกขณะ!!.
ขอบคุณ... http://www.dailynews.co.th/article/223/188663 (ขนาดไฟล์: 167)
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
หญิงสาวยืนกางแขนอยู่กลางทุ่งหญ้า เมืองไทยคนไทยในยุคปัจจุบัน ถือได้ว่าก้าวทันวัตถุใหม่ ๆ ก้าวทันเทคโนโลยีทันสมัยไม่แพ้ชาติไหน ๆ เพราะเมื่อมีวัตถุอะไรใหม่ ๆ ออกมาเมื่อไหร่ ไม่ทันไรก็ได้เห็นคนไทยมี มีเทคโนโลยีอะไรใหม่ ๆ ออกมาเมื่อไหร่ ไม่ทันไรก็ได้เห็นคนไทยใช้ ซึ่งกับคนที่มีความพร้อมเพียงพอ นั่นก็ว่ากันไป แต่กับคนที่อยากได้ใคร่มี ใคร่ได้ใช้ กับเขาบ้าง โดยที่ตนเองยังไม่มีความพร้อมพอ นี่อาจจะต้องไตร่ตรองให้ดี ๆ เสียก่อน เพราะดีไม่ดีอาจจะทุกข์หนัก ยอมเป็นหนี้ก้อนโตด้วยข้ออ้าง...ให้รางวัลตัวเองดูคล้ายว่า “รักตัวเอง” แต่...จริง ๆ อาจให้ทุกข์?? ทั้งนี้... ความสามารถในการที่จะรู้จักความสุขของผู้คนในสังคมไทยนั้น กำลังหายไป ซึ่งคำว่าหาความสุข กับคำว่ามีความสุข นั้นแตกต่างกัน แต่ปัจจุบันหลาย ๆ คนก็ยอมทำทุกอย่าง ยอมเป็นทุกอย่าง เพียงเพื่อที่จะได้ซื้อสิ่งที่คิดกันว่าเป็นความสุข เพราะหลงเข้าใจกันไปว่าความสุขก็คือการได้มี หรือได้มา ซึ่งสิ่งนั้นสิ่งนี้ ทั้งที่จริง ๆ แล้วไม่ใช่” .นี่เป็นส่วนหนึ่งจากการระบุของทางโรงพยาบาลมนารมย์ โรงพยาบาลเอกชนที่เป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านการดูแลรักษาปัญหาทางจิตเวช พฤติกรรม และรวมถึงส่งเสริมด้านสุขภาพจิต นี่เป็นการระบุที่คนไทยน่าจะได้ลองพิจารณากัน ซึ่งเพราะเป้าหมายสูงสุดในชีวิตที่แท้จริงของมนุษย์ทุกคนคือ “ความสุข” แต่ด้วยเหตุที่คำว่าความสุขมีลักษณะเป็นนามธรรม แต่ละคนจึงอาจตีความความหมายของความสุขแตกต่างกันออกไป จนอาจจะ มีชีวิตที่เอาแต่ดิ้นรนเพื่อจะหาความสุข โดยที่ชีวิตไม่มีความสุข “ความสุขที่แท้จริงนั้น มาจากการให้อาหารใจเป็น ด้วยการรักตัวเองเป็น และรักตัวเองได้ ยอมรับตัวเองเป็น และยอมรับตัวเองได้” ...นี่เป็นการระบุของ ศ.พญ.นงพงา ลิ้มสุวรรณ ที่ปรึกษาโรงพยาบาลมนารมย์ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตเวชเด็กวัยรุ่นและครอบครัว ซึ่งได้มีการออกแบบกระบวนการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ “ซาเทียร์ : แปรเปลี่ยนและเติบโตสู่ความมั่นคงภายใน (Self Development)” โดยจะมีการจัดอบรมในวันที่ 23-24 มี.ค. 2556 ซึ่งรายละเอียดตรวจสอบได้จากเว็บไซต์ http://www.manaron.com ก่อนหน้านี้ทาง “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ได้เคยสะท้อนเรื่องการ “อาบน้ำใจ” ที่เป็นคำแนะนำของ นพ.ไกรสิทธิ์ นฤขัตพิชัย กรรมการผู้จัดการโรงพยาบาลมนารมย์ โดยหลักใหญ่ใจความคือ...สุขภาพจิตก็สำคัญไม่แพ้สุขภาพกาย ร่างกายต้องการการอาบน้ำชำระล้างเพื่อให้สุขภาพดี จิตใจก็เช่นกัน ก็จำเป็นต้องมีการอาบน้ำใจซึ่งหมายถึงการใส่ใจดูแลสุขภาพจิต และก็เคยสะท้อนเรื่อง “อาหารใจของเด็ก” โดยคำแนะนำของ ศ.พญ.นงพงา ซึ่งหมายถึงการปูพื้นฐานด้านจิตใจที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต สร้างภูมิคุ้มกันทางจิตใจให้เด็ก ๆอาบน้ำใจ อาหารใจ ยุคปัจจุบันยิ่งเป็นสิ่งที่ควรต้องสนใจ และกับการ “ให้อาหารใจผู้ใหญ่-ให้อาหารใจตัวเอง” ที่ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชระบุว่า “ต้องให้...ให้เป็น” นี่ก็ควรต้องสนใจใส่ใจเช่นกัน!!และกับเรื่องนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชขยายความไว้ว่า...ตามหลักจิตวิทยาของ “ซาเทียร์” นักจิตวิทยาชาวอเมริกันที่ค้นพบแนวทางสร้างความมั่นคงภายในจิตใจที่จะนำมาซึ่งความสุข ระบุว่า ’หนทางเริ่มต้นการค้นพบความสุขนั้น จะต้องเริ่มต้นที่ตัวเองก่อน“ ซึ่งนี่เป็นหลักที่เข้าใกล้ธรรมชาติของมนุษย์มากที่สุด และมีความคล้ายคลึงกับหลักธรรมคำสอนตามแนวทางพระพุทธศาสนา และหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สังคมไทยปัจจุบัน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ กำลังถูกกระแสสังคม กระแสวัตถุนิยม พัดพาไปอย่างไร้จุดยืน หลายคนอยากมี อยากเป็น เหมือนดารา เหมือนคนดังในสังคม เหมือนคนอื่น ซึ่งถือว่าเป็นปัญหา นี่คือการไม่ยอมรับตัวเอง ไม่รักตัวเอง สังคมไทยทุกวันนี้ผู้คนยอมรับตัวเองไม่ค่อยได้ ซึ่งถ้ามีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับตัวเอง ไม่ชอบตัวเอง หงุดหงิดตลอดเวลา ก็ไม่มีทางที่จะมีความสุขได้ ทั้งนี้ กับแนวทางแก้ปัญหาความสุขที่จางหายไปนั้น ศ.พญ.นงพงา ระบุว่า... สำคัญคือต้องรู้จักให้อาหารใจตัวเองเป็น รักตัวเองเป็น รักตัวเองได้ ยอมรับตัวเองเป็น ยอมรับตัวเองได้ ทั้งในแง่ดีและไม่ดี ต้องรักและยอมรับตัวเองอย่างที่เป็นอยู่ให้ได้ก่อน จึงจะเริ่มต้นพัฒนาตนเองได้ เริ่มจากการเห็นคุณค่าตัวเองว่ามีดีพอ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าถือดีว่าวิเศษกว่าใคร แต่ต้องตั้งใจที่จะเห็นความสำคัญของตนเอง เห็นความดีและคุณค่าในตัวของตัวเอง เมื่อสามารถเห็นความดีและคุณค่าในตัวเองได้ ก็จะสามารถเห็นความดีและคุณค่าในตัวคนอื่นได้ แล้วก็จะไม่ไปเบียดเบียนใคร และสามารถเอื้อเฟื้อหรือถ่ายทอดความอ่อนโยนไปสู่คนอื่น ๆ ได้ด้วย ตามหลักของซาเทียร์ ต้องรู้จักตัวเอง รู้จักว่าตัวเองมีคุณค่าดีพอ เมื่อสามารถยอมรับตัวเองได้ ก็จะมีความเป็นอิสระ สามารถตัดสินใจเอง ใช้ชีวิตได้สอดคล้องกลมกลืนกับตัวเอง กับคนอื่น และกับบริบท โดยที่ ไม่ขัดแย้งกับตัวเอง คนอื่น สังคม และเมื่อได้รับการพัฒนาตนเอง เกิดความมั่นคงในจิตใจ ก็จะมีความสุขขึ้น…’รักตัวเอง“ ก็ดูคล้ายว่าจะมีถมเถไปในสังคมไทย …แต่ ’ความสุขในสังคมไทย“ ก็คล้ายกำลังจางลง คงเพราะ ’รักได้และรักเป็น“ มีน้อยลงทุกขณะ!!. ขอบคุณ... http://www.dailynews.co.th/article/223/188663
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)