Big O!cean : ไอดอลผู้พิการทางหู ที่ร้อง เต้น พร้อมทำภาษามือวงแรกของ K-Pop
Big O!cean วงไอดอลบอยกรุ๊ปที่ประกอบด้วยสมาชิกที่มีปัญหาทางการได้ยิน แต่ใส่เครื่องช่วยฟังและจับจังหวะผ่านแรงสั่นสะเทือน เตรียมเดบิวต์เป็นศิลปิน K-Pop ที่มีปัญหาการได้ยินครั้งแรกของโลก
ปัจจุบัน K-Pop ได้รับความนิยมมากขึ้นทั่วโลก เป็นเหตุผลที่ทำให้ ‘PARASTAR Entertainment’ เริ่มทำโปรเจกต์ Big O!cean ที่มองหาเด็กหนุ่มที่มีปัญหาทางการได้ยิน
Big O!cean ประกอบด้วยสมาชิก 3 คนที่จะมาเป็นสีสันใหม่ให้กับวงการ K-Pop ผ่านแนวเพลง S-Pop หรือ Sign Language Pop
สมาชิกที่แตกต่างค่อย ๆ เรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน ความสำเร็จแรก คือ การคว้ารางวัลรองชนะเลิศจากการแข่งขันศิลปะผู้พิการเกาหลี
ศิลปิน K-Pop จะไปสุดที่ตรงไหน?! เพราะตอนนี้เกาหลีใต้กำลังเตรียมเดบิวต์ ‘ไอดอลบอยกรุ๊ปหูหนวก’ เป็นครั้งแรกของวงการ
พวกเขาคือหนุ่ม ๆ วง Big O!cean ประกอบด้วยสมาชิก 3 คนที่อายุเฉลี่ยประมาณ 20 ปีต้น ๆ คือ ‘พัคฮยอนจิน’, ‘คิมจีซอก’ และ ‘อีชานยอน’ หรือมีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า S-BOYZ ภายใต้ค่าย ‘PARASTAR Entertainment’ ต้นสังกัดสัญชาติเกาหลีใต้ที่มุ่งมั่นในการเป็นสะพานเชื่อมระหว่างบุคลากรด้านสื่อและศิลปินที่มีความบกพร่องทางร่างกาย
ชาแฮรี ประธานค่ายพูดถึงความตั้งใจของเธอในการสร้างไอดอลบอยกรุ๊ปหูหนวกไว้ว่า “สำหรับคนที่ได้ยินเสียงปกติ ดนตรีเป็นองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้ในชีวิต แต่สำหรับคนที่สูญเสียการได้ยิน เพื่อให้พวกเขาสามารถเพลิดเพลินไปกับเสียงเพลงได้ เลยอยากให้มีแนวเพลงใหม่ขึ้นมา”
แนวเพลงที่ท่านประธานพูดถึง คือ S-Pop ย่อมาจาก Sign Language Pop หมายถึงแนวเพลงของผู้สูญเสียการได้ยิน กล่าวคือ พวกเขาจะร้องเพลง แสดงภาษามือ และเต้นไปด้วย ด้วยภาพลักษณ์ของหนุ่มเกาหลีทั้ง 3 คน หรืออาจมีมากกว่านั้น
เพราะตอนนี้พวกเขากำลังประกาศรับสมัครสมาชิกเพิ่มภายใต้เงื่อนไขที่พวกเขาเหล่านั้นต้องเป็น ‘ผู้ชายอายุ 10 - 20 ปี สัญชาติใดก็ได้ สูญเสียการได้ยิน เต้นไม่เป็น ไม่รู้ภาษามือก็ไม่เป็นไร’
พัคฮยอนจิน คิมจีซอก และ อีชานยอน จะมาลบภาพเดิม ๆ ของคนที่สูญเสียการได้ยิน เพราะสมาชิกทั้ง 3 คน ได้ยินและพูดได้ปกติจากเครื่องช่วยฟัง และจับจังหวะเพลงผ่านแรงสั่นสะเทือน
ถึงจะไม่โดดเด่น แต่ S-BOYZ ก็ตั้งใจฝึกฝนตัวเอง ทั้งร้อง เต้น และฝึกภาษามือจนได้รางวัลที่ 2 จากงานประกวดศิลปะผู้พิการของเกาหลี
แต่ถ้าย้อนกลับไปดูเส้นทางชีวิตของสมาชิกแต่ละคน พวกเขาคือเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ฝันว่าอยากจะเข้ามาเป็นไอดอลเพื่อสร้างความเข้าใจใหม่ ๆ เรื่องคนหูหนวกให้กับสังคม
เริ่มจากฮยอนจิน เด็กที่เคยฝันว่าอยากบินได้ รักพลังวิเศษ แต่ตอนนี้กลางวันเป็นพนักงานพาร์ตไทม์ร้านคาเฟ่เพื่อเรียนรู้การใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่น ส่วนเวลาว่างเป็นนักเล่าเรื่องที่มีผู้ติดตามในติ๊กต็อกมาถึง 50,000 กว่าคน
“พอนึกถึงเพื่อน ๆ สมัยเรียน ตอนเรียกผมว่าเป็นคนหูหนวก พูดไม่เก่ง รู้ภาษามือแน่นอน ผมต้องการที่จะแก้ไขมุมมองเหล่านั้น เลยทำอาชีพครีเอเตอร์ แล้วถ้าเป็นไอดอลมันสอดคล้องกับความตั้งใจของผม มันเป็นโอกาสที่จะทำให้คนรับรู้และเข้าใจผมมากขึ้น” ฮยอนจินบอกความตั้งใจในการก้าวเข้าสู่สถานะเด็กฝึก
ส่วนคิมจีซอก หนุ่มอินโทรเวิร์ตที่มั่นใจเรื่องเต้นที่สุด รักกีฬาและเป็นนักกีฬาสกีอัลไพน์และเล่นเทควันโดมาตั้งแต่มัธยม และฝันว่าอยากจะได้ใช้ชีวิตที่ตัวเองวาดฝันไว้
คิมจีซอกบอกผ่านรายการที่ออกอากาศในช่องยูทูบของวงไว้ว่า “ถึงจะตายก่อนวัยก็อยากทำงานที่ชอบก่อนตาย ผมคิดแบบนั้น ถึงจะตายตอนอายุ 22 ปี หรือตอนอายุ 21 ปีก็ตาม ก็อยากทำสิ่งที่ชอบก่อนตาย ถ้าไม่ได้ทำคงเสียใจมาก”
สุดท้ายอีชานยอน สมาชิกขี้อาย พูดน้อย แต่ยิ้มเก่ง (ชื่อภาษามือของเขาเป็นรูปยิ้มด้วย) ที่ตรวจพบว่าสูญเสียการได้ยินตอนมัธยมศึกษาปีที่ 4 เขาเติบโตจนปัจจุบันมีงานประจำวันจันทร์ถึงศุกร์เป็นนักโสตสัมผัสวิทยา หรือคนทดสอบความสามารถทางการได้ยินในโรงพยาบาล
สิ่งที่เขาคิดเมื่อ Big O!cean เดบิวต์ แทนที่จะดีใจ แต่เขากังวลในใจว่า ผู้คนจะมองพวกเขาอย่างไร
ชานยอนบอก “ผมคิดว่าคนอาจจะมองเชิงลบมากกว่าเชิงบวก เพราะเราไม่ได้ยิน คนอาจจะคิดว่าเราแค่ขอความสงสารและความเห็นใจจากผู้คน ผมกังวลว่าคนจะคิดแบบนั้น”
ถึงจะกังวล แต่เขาก็รู้สึกว่าการเป็นไอดอลจะทำให้คนทั่วโลกเห็นตัวตนและความสามารถของพวกเขาที่ซ่อนอยู่
“บางคนที่ท้อแท้ เพราะพิการ ผมคิดว่าพวกเขาจะเอาชนะความรู้สึกนั้นได้ และแสดงตัวตนของเราให้โลกได้เห็น”
จากวันแรกถึงวันนี้ก็เป็นเวลาประมาณ 6 เดือนที่โปรเจกต์นี้เริ่มต้นขึ้น แต่ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของวงการ K-Pop ที่เปิดพื้นที่ให้ความหลากหลายของสังคมได้ออกมาแสดงความสามารถของตัวเอง
และความแตกต่างเหล่านั้นก็นับเป็นสีสันใหม่ ๆ ให้กับวงการเพลงเกาหลีที่ประสบความสำเร็จในระดับโลก เพราะเราเองก็เชื่อว่า ถึงจะไม่ยิน แต่ดนตรีจะเป็นสื่อกลางที่ทำให้คนทุกความแตกต่างเชื่อมหากัน
เราเองก็จะติดตามเส้นทางชีวิตของทั้ง 3 คนจนวันที่พวกเขาเดบิวต์เป็นศิลปินได้สำเร็จ