งานวิจัยสร้างอาชีพผู้พิการ (เฮ็ดดิ คราฟท์) ต่อยอดทุนพื้นถิ่น เสริมทักษะที่แตกต่าง สร้างรายได้ สร้างความภาคภูมิใจในตัวเอง
“หลักสูตรการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์หัตถกรรมท้องถิ่น” เป็นอีกหนึ่งงานวิจัยของทาง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ที่ตอบโจทย์การพัฒนาให้ผู้พิการนำความรู้ภูมิปัญญาชาวบ้าน เสริมกับทักษะในการสร้างอาชีพ ที่ได้ผลลัพธ์คือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่แตกต่าง จนสามรถสร้างอาชีพสร้างรายได้ เพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และให้เกิดความภาคภูมิใจในตัวเองได้
ผศ.วรนุช ชื่นฤดีมล อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ มจธ. และหัวหน้าหลักสูตรการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์หัตถกรรมท้องถิ่น กล่าวว่า ได้มีการดำเนินการอบรมมากว่า 3 ปี ตั้งแต่ปี 2564 - 2566 มีคนพิการที่เข้ารับการอบรมในหลักสูตรนี้ทั้งสิ้น 43 คน ส่วนใหญ่เป็นคนพิการด้านการเคลื่อนไหว แขนขาอ่อนแรง สายตาเลือนรางและพิการทางการได้ยิน แบ่งเป็น รุ่นที่ 1 จำนวน 19 คน ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รุ่นที่ 2 จำนวน 12 คน และรุ่นที่ 3 จำนวน 12 คน ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ตามพ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพคนพิการ มาตรา 35 ซึ่งการดำเนินงานของหลักสูตรมีกำหนดรูปแบบไว้ในแต่ละปี โดยปีที่ 1 จะเป็นการฝึกพื้นฐานความรู้ที่จำเป็นทุกอย่าง ปรับ mind set การสร้างความมั่นใจในตนเอง การสื่อสาร และการเข้าสังคม รวมถึงสอนการออกแบบ การถักทอและการย้อมคราม
ในปีที่ 2เป็นการสอนทักษะงานฝีมือและเปลี่ยนจากครามเป็นการใช้สีธรรมชาติที่ได้จากท้องถิ่น เช่น ดอกฝักคูน ดาวเรือง ฝาง และพัฒนาผลิตภัณฑ์ออกมาเป็นรูปต่างๆ ตามจินตนาการ เพื่อสร้างจุดเด่นให้กับผลิตภัณฑ์ของกลุ่มมากขึ้น อาทิ เห็ดนำโชค ไม้เท้า สายรุ้ง หรือเต่า เป็นของประดับตกแต่ง ที่สำคัญเริ่มให้ความรู้การเป็นผู้ประกอบการ จึงเน้นสอนเรื่องของการตลาดมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เขารู้ว่าตัวเองชอบหรือถนัดอะไร เพราะต้องยอมรับว่าไม่ใช่ทุกคนอยากเป็นผู้ประกอบการ บางคนชอบทำงานคนเดียว ไม่ชอบทำงานกลุ่ม หรือบางคนอยากเป็นแค่ผู้ผลิต ซึ่งก็สามารถนำความรู้ที่ได้รับจากหลักสูตรไปประกอบอาชีพเองที่บ้านได้ ซึ่งเขาสามารถเลือกได้
และในส่วนปีที่ 3 นอกจากจะได้ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ไม่เหมือนใครในพื้นที่แล้ว ยังถือเป็นการเปลี่ยนแปลงของกลุ่มที่สำคัญในการก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบการด้วยทุนและการบริหารจัดการด้วยตนเอง โดยการคัดเลือกคนที่พร้อมมีทักษะสามารถจะเป็นผู้ประกอบการได้ด้วยตัวเองและสามารถทำงานร่วมกับคนอื่นได้สามารถทำงานระบบออฟฟิศได้ จากการพัฒนาต่อยอดใน 2 รุ่นที่ผ่านมา ซึ่งล่าสุดทางกลุ่มได้รวมตัวกันเป็นผู้ประกอบการในพื้นที่ หรือ Local Enterprise ด้วยทุนของสมาชิกเองทั้งหมด เพื่อบริหารจัดการผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นในพื้นที่ทั้ง ผงสีธรรมชาติจากพืช สีเทียน เทียนหอม เชือกถัก เสื้อ กระเป๋าผ้าย้อมสีธรรมชาติหรือแม้แต่ผ้าย้อมคราม ภายใต้แบรนด์“เฮ็ดดิ คราฟท์”
สำหรับผลิตภัณฑ์จากฝีมือคนพิการตำบลเต่างอย ล่าสุด ที่ได้ต่อยอดจากผลิตภัณฑ์หัตถกรรมท้องถิ่นสู่ “ผงสีธรรมชาติจากพืช” เป็นผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์แปลกใหม่ ที่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับวัตถุดิบในท้องถิ่น โดยนำวัสดุเหลือทิ้งจากธรรมชาติมาผลิต ภายใต้แนวคิด Zero Waste ที่ไม่เหลือขยะทิ้งไว้ ซึ่งผงสีจากพืชธรรมชาติที่ผลิตได้ ประกอบด้วย คราม ฝาง สาบเสือ หูกวาง หางนกยูง ดาวเรือง ฝักคูน เปลือกประดู่ มะม่วง เพกา และเมล็ดคำแสด สามารถนำไปเป็นส่วนผสมทำผลิตภัณฑ์อื่นๆ ได้หลากหลาย อาทิ เทียนหอม ธูปหอม โดยเฉพาะสีเทียน เป็นสูตรที่ทางกลุ่มคนพิการได้ทำวิจัย คิดค้นและพัฒนาขึ้นเอง ถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของกลุ่มเฮ็ดดิ ที่มีลักษณะเป็นก้อนแตกต่างจากสีเทียนแบบเดิม
“ความน่าสนใจของหลักสูตรฯ นี้ คือ การพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างภูมิปัญญาชาวบ้านกับองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ การออกแบบผลิตภัณฑ์และนวัตกรรม ของ มจธ. พัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพิ่มขึ้น ถือเป็นการผสมผสานกันระหว่างเทคโนโลยีกับภูมิปัญญาชาวบ้านจนเกิดเป็นองค์ความรู้ใหม่ขึ้นให้กับชุมชน และแม้จะเป็นกลุ่มเปราะบางที่เป็นคนพิการ แต่จุดเริ่มต้นความสำเร็จของคนกลุ่มนี้ คือ อยากทำ อยากฝึกและมีความตั้งใจ ดังนั้น รูปแบบการสอนของเราจะใช้วิธีการถ่ายทอดความรู้ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ไม่เป็นวิชาการมากนัก มีการใช้สัญลักษณ์เข้ามาเพื่อช่วยให้จำได้ง่ายขึ้น เช่น เราบอกกับคนพิการว่าการทำผงสี เปรียบเสมือนกับการทำกับข้าว น้ำที่ย้อมเหมือนการต้มน้ำแกง ใส่เกลือ ใส่สารส้ม เคี่ยวเสร็จแล้วนำมากรอง เอากากออก น้ำที่ได้เทใส่กะละมัง จากนั้นโรยดินสอพองลงไป และตีจนขึ้นฟู พอฟองฟูเต็มที่แสดงว่าสีจับกับดินสอพองเรียบร้อย ก็ถือว่าเสร็จ ตั้งทิ้งไว้หนึ่งคืนปล่อยให้ตกตะกอน เช้าขึ้นมาก็เทน้ำข้างบนออก ตักเอาแต่ส่วนที่ตกตะกอน นำไปตากแดด จากนั้นจึงนำมาบดให้ละเอียด ซึ่งกระบวนการทำผงสีนี้ เรายังได้ถอดบทเรียนออกมาเป็นองค์ความรู้ มีด้วยกัน 7 ขั้นตอน เพื่อใช้ถ่ายทอดให้กับนักศึกษา NAFA (Nanyang Academy of Fine Arts) จากประเทศสิงคโปร์ ที่มาร่วมทำ workshop กับกลุ่มคนพิการเฮ็ดดิ ในครั้งนี้ด้วย” .....ผศ.วรนุช กล่าว
ผศ. ดร.บุษเกตน์ อินทรปาสาน อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ มจธ. กล่าวว่า การที่สมาชิกตกลงร่วมกันเป็นผู้ประกอบการ Local Enterprise แม้จะยังไม่ได้เป็น Social Enterprise ถือเป็น startup ในเชิงการสร้างอาชีพให้คนพิการ ที่ทุกคนเลือกเป็นผู้ถือหุ้นกันเอง 100% ต่อไปมหาวิทยาลัยจะเป็นเพียงพี่เลี้ยงหรือที่ปรึกษา ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องผลกำไรกับทางกลุ่ม ซึ่งถือเป็นความสำเร็จหนึ่งของ Sustainable Development Goals (SDGs) ในการมีคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน การสร้างอาชีพและสร้างรายได้ ส่วนสิ่งที่มหาวิทยาลัยได้รับจากการจัดทำหลักสูตรนี้ คือ สามารถตอบโจทย์ของมหาวิทยาลัยที่มุ่งพัฒนามหาวิทยาลัยเป็น The Sustainable Entrepreneurial University รวมถึงการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนกับมหาวิทยาลัย”
สำหรับก้าวต่อไปของ เฮ็ดดิคราฟท์ ผศ. ดร.บุษเกตน์ กล่าวว่า ... “คือการหาตลาดใหม่ๆ นอกจากกลุ่มเป้าหมายที่เป็นสถาบันการศึกษา ในปีหน้ามีโอกาสจะพาไปพบผู้ซื้อ ให้เขาได้รู้จักลูกค้าได้เรียนรู้ประสบการณ์มากขึ้น เพราะการตลาดนั้นจะต้องหาลูกค้าให้ได้ก่อนว่าลูกค้าของเราเป็นใคร พอเราได้ตลาดแล้วค่อยมาทำผลิตภัณฑ์ที่จะตอบโจทย์ลูกค้าได้ และเรื่องของมาตรฐานคุณวุฒิวิชาชีพด้านการทำผลิตภัณฑ์ชุมชน หรือของที่ระลึก ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการเปรียบเทียบหลักสูตรกับประสบการณ์วิชาชีพ รวมถึงการพัฒนาให้เป็นแหล่งเรียนรู้ศึกษาดูงานของชุมชนที่ต่างจากกลุ่มอื่นในพื้นที่ จากประสบการณ์การเป็นเทรนด์เดอะเทรนด์เนอร์ให้กับนักศึกษาต่างชาติจากมหาวิทยาลัย NAFA ที่หลังจากได้รับการถ่ายทอดจากกลุ่มเฮ็ดดิแล้วจะนำความรู้ที่ได้รับไปจัดนิทรรศการที่สิงคโปร์ จะเป็นเครดิตของคนพิการเฮ็ดดิ ที่พูดถึงกันจากการได้มาลงพื้นที่ในเชิงมหาวิทยาลัยกับชุมชน และได้ผลงานกลับไปจัดแสดง ซึ่งอาจมีการนำไปต่อยอดเกิดการออกแบบนวัตกรรมใหม่ๆ ขึ้น ถือเป็นผลงานที่โดดเด่นของกลุ่มคนพิการเฮ็ดดิอีกด้วย”
ขอบคุณ... https://mgronline.com/science/detail/9670000021568