ศูนย์วิจัยภัยพิบัติฯ NIDA เปิดข้อมูลสารก่อมะเร็งในหมอกควันภาคเหนือ ชี้แม่ฮ่องสอนเสี่ยงสุด ทั้งสารก่อมะเร็งและปริมาณฝุ่นเพิ่มขึ้น 5 เท่าในช่วงวิกฤติ

แสดงความคิดเห็น

ศูนย์วิจัยและพัฒนาการป้องกันและจัดการภัยพิบัติ NIDA เผยผลวิจัยศึกษาฝุ่นละอองในอากาศช่วงก่อนและหลังเกิดวิกฤติหมอกควันภาคเหนือ ตอนบน พบฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอนที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ สูงเกินเกณฑ์มาตรฐานทุกจังหวัด ระบุ เชียงราย แม่ฮ่องสอน หนักสุดมีฝุ่นละอองเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า ชี้หลังตรวจวัดความเข้มข้นของสารก่อมะเร็งในฝุ่น พบประชาชนในจังหวัดแม่ฮ่องสอนและลำพูน มีความเสี่ยงที่ได้สารก่อมะเร็งจากการสูดดมหมอกควันมากสุด ด้าน NIDA จี้ภาครัฐควรเร่งรณรงค์สร้างความเข้าใจถึงผลกระทบจากการเผาป่า พร้อมเพิ่มบทลงโทษและเข้มงวดต่อการบังคับใช้กฎหมายมากขึ้น

จากสถานการณ์วิกฤติหมอกควันในภาคเหนือตอนบนที่เกิดจากการเผาป่า ทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ โดยมีประชาชนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลนับหมื่นคน ทางศูนย์วิจัยและพัฒนาการป้องกันและจัดการภัยพิบัติ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ NIDA ซึ่งได้ทำการเก็บข้อมูลปริมาณฝุ่นละอองขนาด 2.5 ไมครอน (PM2.5) ในชั้นบรรยากาศ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ที่สูดดมเข้าไป เปรียบเทียบระหว่างช่วงปลายปี 2555 (ก่อนเกิดวิกฤต) กับช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนมีนาคม 2556 (ช่วงเกิดวิกฤต) จึงได้นำเสนอผลการวิจัยต่อสาธารณชน เพื่อให้เกิดการตระหนักต่อปัญหา และร่วมกันหาทางแก้ไขต่อไป

ทั้งนี้ จากการเก็บตัวอย่างฝุ่นละอองขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่า 2.5 ไมครอน (PM2.5) เพื่อศึกษาองค์ประกอบทางเคมีจากลักษณะการดูดกลืนรังสีอินฟราเรดของฝุ่นละออง ในบรรยากาศ เพื่อตรวจสอบความสัมพันธ์การเกิดโรคมะเร็งปอด โดยกำหนดระยะเวลาการเก็บตัวอย่างสภาพอากาศในช่วงกรกฎาคม-กันยายน 2555 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดวิกฤติ และช่วงกุมภาพันธ์-เมษายน 2556 หลังเกิดวิกฤติหมอกควัน ได้ผลที่น่าสนใจ

รองศาสตราจารย์ ดร.ศิวัช พงษ์เพียจันทร์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการป้องกันและจัดการภัยพิบัติ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ NIDA (Dr.Siwatt Pongpiachan, Associate Professor Director of NIDA Center for Research & Development of Disaster Prevention & Management) เปิดเผยว่า จากการลงพื้น 9 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ประกอบไปด้วย จังหวัดเชียงราย พะเยา น่าน ลำปาง แพร่ อุตรดิตถ์ แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ และ ลำพูน เพื่อศึกษาความเข้มข้นของปริมาณฝุ่น PM2.5 ซึ่งมีความเสี่ยงต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ พบว่า จังหวัดที่มีค่าเฉลี่ยปริมาณฝุ่นละอองหลังเกิดวิกฤติหมอกควันเพิ่มขึ้นจาก ก่อนเกิดวิกฤติมากที่สุด ได้แก่ เชียงรายและแม่ฮ่องสอน โดยเชียงรายมีปริมาณฝุ่นละอองก่อนเกิดวิกฤติ 14.97 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เพิ่มเป็น 91.82 ลูกบาศก์เมตรหรือเพิ่มขึ้น 513% และแม่ฮ่องสอนมีปริมาณฝุ่นละอองก่อนเกิดวิกฤติ 34.48 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เพิ่มเป็น 209.85 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร หรือเพิ่มขึ้น 509% รองลงมาได้แก่ จังหวัดพะเยา ที่มีปริมาณฝุ่นละออง 17.73 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เพิ่มเป็น 99.70 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร หรือเพิ่มขึ้น 465%

ขณะที่จังหวัดที่มีปริมาณฝุ่นละอองในช่วงวิกฤติเพิ่มสูงขึ้นในระดับ ปานกลางได้แก่ ลำพูน น่าน และลำปาง โดยมีค่าเฉลี่ยฝุ่นละอองในอากาศหลังเกิดวิกฤติหมอกควันเพิ่มขึ้นจากช่วงปกติ คิดเป็น 262%, 221% และ172% ตามลำดับ ส่วนจังหวัดที่มีปริมาณฝุ่นเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยได้แก่ อุตรดิตถ์ แพร่ มีปริมาณฝุ่นเพิ่มขึ้น 100% และ 90 % ตามลำดับ ส่วนจังหวัดเชียงใหม่ มีปริมาณฝุ่นละอองในช่วงวิกฤติหมอกควันเพิ่มขึ้นในสัดส่วนน้อยที่สุด คือเพิ่มขึ้นเพียง 87% เท่านั้น

“เชียงราย และแม่ฮ่องสอน เป็นจังหวัดที่น่าห่วงต่อสถานการณ์หมอกควันในชั้นบรรยากาศที่มีปริมาณฝุ่น ละอองขนาดเล็กเพิ่มสูงขึ้นถึง 5 เท่า จากช่วงก่อนเกิดวิกฤติ และเมื่อนำข้อมูลเหล่านี้มาเทียบกับค่ามาตรฐานของ US-EPA ซึ่งกำหนดค่าของฝุ่น PM2.5 ควรมีไม่เกิน 35 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรภายในระยะเวลาการวัดไม่เกิน 24 ชั่วโมงแล้ว จะพบว่าทุกจังหวัดในภาคเหนือตอนบน กำลังประสบกับปัญหาฝุ่นละอองจากหมอกควันอยู่ในขั้นวิกฤติที่มีผลต่อสุขภาพ ของประชาชนในพื้นที่ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคระบบทางเดินหายใจเพิ่ม ขึ้น” รองศาสตราจารย์ ดร.ศิวัช กล่าว

ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการป้องกันและจัดการภัยพิบัติ NIDA กล่าวด้วยว่า ผลการศึกษาในครั้งนี้ ยังได้ตรวจวัดระดับความเข้มข้นของสารก่อมะเร็ง PAHs ในฝุ่น PM2.5 ในชั้นบรรยากาศของ 9 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ซึ่งผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า ค่าเฉลี่ยของสารก่อมะเร็งรวมทั้ง 9 จุด (Total PAHs) มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 613 พิโคกรัมต่อลูกบาศก์เมตร โดยพบว่า จังหวัดแม่ฮ่องสอนมีค่า Total PAHs สูงสุดที่ 3,864 พิโคกรัมต่อลูกบาศก์เมตร รองลงมาได้แก่ จังหวัดลำพูน มีค่า Total PAHs อยู่ที่ 866 พิโคกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ขณะที่จังหวัดแพร่มีค่า Total PAHs ต่ำสุด อยู่ที่ 54 พิโคกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

ทั้งนี้ ภาครัฐควรเร่งรณรงค์และสร้างการมีส่วนร่วมเพื่อหยุดการเผาป่าหรือเศษชีวมวล ในที่โล่งแจ้ง และเพิ่มโทษ พร้อมให้เจ้าหน้าที่เข้มงวดต่อการบังคับใช้กฎหมายเพื่อลดการเผาป่า รวมถึงสร้างความเข้าใจถึงอันตรายจากการสูดดมเอาสารก่อมะเร็งจากการเผาป่าที่ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ได้

เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ ในนามศูนย์วิจัยและพัฒนาการป้องกันและจัดการภัยพิบัติ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ NIDA DPM

ขอบคุณ http://www.newswit.com/food/2013-04-09/c363eb760d6898c5ceeb922f31f560c4/

ที่มา: newswit.com ออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 9 เม.ย.56
วันที่โพสต์: 10/04/2556 เวลา 03:28:00

แสดงความคิดเห็น

รอตรวจสอบ
จัดฟอร์แม็ต ดูการแสดงผล

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

ยกเลิก

รายละเอียดกระทู้

ศูนย์วิจัยและพัฒนาการป้องกันและจัดการภัยพิบัติ NIDA เผยผลวิจัยศึกษาฝุ่นละอองในอากาศช่วงก่อนและหลังเกิดวิกฤติหมอกควันภาคเหนือ ตอนบน พบฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอนที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ สูงเกินเกณฑ์มาตรฐานทุกจังหวัด ระบุ เชียงราย แม่ฮ่องสอน หนักสุดมีฝุ่นละอองเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า ชี้หลังตรวจวัดความเข้มข้นของสารก่อมะเร็งในฝุ่น พบประชาชนในจังหวัดแม่ฮ่องสอนและลำพูน มีความเสี่ยงที่ได้สารก่อมะเร็งจากการสูดดมหมอกควันมากสุด ด้าน NIDA จี้ภาครัฐควรเร่งรณรงค์สร้างความเข้าใจถึงผลกระทบจากการเผาป่า พร้อมเพิ่มบทลงโทษและเข้มงวดต่อการบังคับใช้กฎหมายมากขึ้น จากสถานการณ์วิกฤติหมอกควันในภาคเหนือตอนบนที่เกิดจากการเผาป่า ทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ โดยมีประชาชนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลนับหมื่นคน ทางศูนย์วิจัยและพัฒนาการป้องกันและจัดการภัยพิบัติ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ NIDA ซึ่งได้ทำการเก็บข้อมูลปริมาณฝุ่นละอองขนาด 2.5 ไมครอน (PM2.5) ในชั้นบรรยากาศ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ที่สูดดมเข้าไป เปรียบเทียบระหว่างช่วงปลายปี 2555 (ก่อนเกิดวิกฤต) กับช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนมีนาคม 2556 (ช่วงเกิดวิกฤต) จึงได้นำเสนอผลการวิจัยต่อสาธารณชน เพื่อให้เกิดการตระหนักต่อปัญหา และร่วมกันหาทางแก้ไขต่อไป ทั้งนี้ จากการเก็บตัวอย่างฝุ่นละอองขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่า 2.5 ไมครอน (PM2.5) เพื่อศึกษาองค์ประกอบทางเคมีจากลักษณะการดูดกลืนรังสีอินฟราเรดของฝุ่นละออง ในบรรยากาศ เพื่อตรวจสอบความสัมพันธ์การเกิดโรคมะเร็งปอด โดยกำหนดระยะเวลาการเก็บตัวอย่างสภาพอากาศในช่วงกรกฎาคม-กันยายน 2555 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดวิกฤติ และช่วงกุมภาพันธ์-เมษายน 2556 หลังเกิดวิกฤติหมอกควัน ได้ผลที่น่าสนใจ รองศาสตราจารย์ ดร.ศิวัช พงษ์เพียจันทร์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการป้องกันและจัดการภัยพิบัติ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ NIDA (Dr.Siwatt Pongpiachan, Associate Professor Director of NIDA Center for Research & Development of Disaster Prevention & Management) เปิดเผยว่า จากการลงพื้น 9 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ประกอบไปด้วย จังหวัดเชียงราย พะเยา น่าน ลำปาง แพร่ อุตรดิตถ์ แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ และ ลำพูน เพื่อศึกษาความเข้มข้นของปริมาณฝุ่น PM2.5 ซึ่งมีความเสี่ยงต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ พบว่า จังหวัดที่มีค่าเฉลี่ยปริมาณฝุ่นละอองหลังเกิดวิกฤติหมอกควันเพิ่มขึ้นจาก ก่อนเกิดวิกฤติมากที่สุด ได้แก่ เชียงรายและแม่ฮ่องสอน โดยเชียงรายมีปริมาณฝุ่นละอองก่อนเกิดวิกฤติ 14.97 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เพิ่มเป็น 91.82 ลูกบาศก์เมตรหรือเพิ่มขึ้น 513% และแม่ฮ่องสอนมีปริมาณฝุ่นละอองก่อนเกิดวิกฤติ 34.48 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เพิ่มเป็น 209.85 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร หรือเพิ่มขึ้น 509% รองลงมาได้แก่ จังหวัดพะเยา ที่มีปริมาณฝุ่นละออง 17.73 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เพิ่มเป็น 99.70 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร หรือเพิ่มขึ้น 465% ขณะที่จังหวัดที่มีปริมาณฝุ่นละอองในช่วงวิกฤติเพิ่มสูงขึ้นในระดับ ปานกลางได้แก่ ลำพูน น่าน และลำปาง โดยมีค่าเฉลี่ยฝุ่นละอองในอากาศหลังเกิดวิกฤติหมอกควันเพิ่มขึ้นจากช่วงปกติ คิดเป็น 262%, 221% และ172% ตามลำดับ ส่วนจังหวัดที่มีปริมาณฝุ่นเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยได้แก่ อุตรดิตถ์ แพร่ มีปริมาณฝุ่นเพิ่มขึ้น 100% และ 90 % ตามลำดับ ส่วนจังหวัดเชียงใหม่ มีปริมาณฝุ่นละอองในช่วงวิกฤติหมอกควันเพิ่มขึ้นในสัดส่วนน้อยที่สุด คือเพิ่มขึ้นเพียง 87% เท่านั้น “เชียงราย และแม่ฮ่องสอน เป็นจังหวัดที่น่าห่วงต่อสถานการณ์หมอกควันในชั้นบรรยากาศที่มีปริมาณฝุ่น ละอองขนาดเล็กเพิ่มสูงขึ้นถึง 5 เท่า จากช่วงก่อนเกิดวิกฤติ และเมื่อนำข้อมูลเหล่านี้มาเทียบกับค่ามาตรฐานของ US-EPA ซึ่งกำหนดค่าของฝุ่น PM2.5 ควรมีไม่เกิน 35 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรภายในระยะเวลาการวัดไม่เกิน 24 ชั่วโมงแล้ว จะพบว่าทุกจังหวัดในภาคเหนือตอนบน กำลังประสบกับปัญหาฝุ่นละอองจากหมอกควันอยู่ในขั้นวิกฤติที่มีผลต่อสุขภาพ ของประชาชนในพื้นที่ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคระบบทางเดินหายใจเพิ่ม ขึ้น” รองศาสตราจารย์ ดร.ศิวัช กล่าว ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการป้องกันและจัดการภัยพิบัติ NIDA กล่าวด้วยว่า ผลการศึกษาในครั้งนี้ ยังได้ตรวจวัดระดับความเข้มข้นของสารก่อมะเร็ง PAHs ในฝุ่น PM2.5 ในชั้นบรรยากาศของ 9 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ซึ่งผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า ค่าเฉลี่ยของสารก่อมะเร็งรวมทั้ง 9 จุด (Total PAHs) มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 613 พิโคกรัมต่อลูกบาศก์เมตร โดยพบว่า จังหวัดแม่ฮ่องสอนมีค่า Total PAHs สูงสุดที่ 3,864 พิโคกรัมต่อลูกบาศก์เมตร รองลงมาได้แก่ จังหวัดลำพูน มีค่า Total PAHs อยู่ที่ 866 พิโคกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ขณะที่จังหวัดแพร่มีค่า Total PAHs ต่ำสุด อยู่ที่ 54 พิโคกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ทั้งนี้ ภาครัฐควรเร่งรณรงค์และสร้างการมีส่วนร่วมเพื่อหยุดการเผาป่าหรือเศษชีวมวล ในที่โล่งแจ้ง และเพิ่มโทษ พร้อมให้เจ้าหน้าที่เข้มงวดต่อการบังคับใช้กฎหมายเพื่อลดการเผาป่า รวมถึงสร้างความเข้าใจถึงอันตรายจากการสูดดมเอาสารก่อมะเร็งจากการเผาป่าที่ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ได้ เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ ในนามศูนย์วิจัยและพัฒนาการป้องกันและจัดการภัยพิบัติ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ NIDA DPM ขอบคุณ http://www.newswit.com/food/2013-04-09/c363eb760d6898c5ceeb922f31f560c4/

จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย

  1. เพิ่ม
  2. เพิ่ม ลบ
  3. เพิ่ม ลบ
  4. เพิ่ม ลบ
  5. เพิ่ม ลบ
  6. เพิ่ม ลบ
  7. เพิ่ม ลบ
  8. เพิ่ม ลบ
  9. เพิ่ม ลบ
  10. ลบ
เลือกการตกแต่งที่ต้องการ

ตกลง ยกเลิก

รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)

Waiting...