เปลี่ยนเก้าอี้ประธานศาลรัฐธรรมนูญการเมืองบนสถานการณ์‘น้ำนิ่งไหลลึก’
ยังเป็นที่สงสัยกันอยู่ว่าสาเหตุ ’ที่แท้จริง“ ที่ วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ลาออกจากประธานศาลรัฐธรรมนูญเกิดจากสาเหตุประการอะไรกันแน่
กระแสส่วนใหญ่พุ่งน้ำหนักไปที่ ’สัญญาสุภาพบุรุษ“ ที่วสันต์เคยระบุไว้ครั้งเข้ามาทำหน้าที่ประธานศาลรัฐธรรม นูญแทน ชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญท่านก่อนหน้านี้ที่ลาออกจากเก้าอี้ลงมาทำหน้าที่ตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญอยู่ในปัจจุบัน
แม้จะเป็น “สัญญาสุภาพบุรุษ” แต่หากเทียบกับภาระหน้าที่และการอาสาเข้ามาทำหน้าที่แล้วเป็นเรื่องที่ไม่ น่าสมเหตุสมผลเท่าไหร่นักโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์บ้านเมืองที่ต้องมี ผู้รักษากติกาคอยชี้ความถูกความผิด
นับตั้งแต่ วสันต์ เข้ามารับตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2554 จนกระทั่งถึงวันลาออกที่ให้มีผลทางกฎหมายในวันที่ 1 สิงหาคม 2556 รวมแล้วก็เกือบจะครบ 2 ปีพอดี ตลอดเวลาของการทำหน้าที่ประธานศาลรัฐธรรมนูญมีคดีความสำคัญชี้ “ความเป็นไป” ของบ้านเมืองอยู่หลายต่อหลายครั้ง
แต่ที่ต้องถือเป็นเรื่อง ’สำคัญที่สุด“ คือ กรณีการแก้ไขมาตรา 291 ที่พรรคเพื่อไทยอ้างว่าได้รับฉันทามติมาจากการเลือกตั้ง การแก้ไขครั้งนั้นแม้จะเป็นการแก้ไขรายมาตราแต่มีเจตนามุ่งหมายเพื่อจะนำไป สู่การให้มี สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือ ส.ส.ร. เพื่อมาแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ คดีนี้ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญยื่นเรื่องให้ตุลาการศาลรัฐ ธรรมนูญวินิจฉัยจนที่สุดมีคำพิพากษาที่กลายเป็น ’บรรทัดฐาน“ ที่ว่าหากจะแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับจะต้องคำนึงถึงประชาชนเพราะรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบันมาจากการทำ ’ประชามติ“
ปมสำคัญของคำพิพากษาคือ สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญในมาตรา 68
’วงใน“ ระบุว่า วสันต์ เคยปรารภกับบางคนไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า จะลาออกจากการทำหน้าที่ก็ต่อเมื่อถึงช่วงระยะเวลา ’ที่เหมาะสม“ ซึ่งแน่นอนว่าไม่น่าจะใช่ในช่วงเวลาขณะนี้
มุมหนึ่งที่น่าสนใจคือการระบุช่วงเวลาในการพ้นจากตำแหน่งว่าให้มีผลในวันที่ 1 สิงหาคม 2556 นั้นน่าจะมาจากการคำนวณระยะเวลาของการได้ซึ่งตุลาการศาลรัฐธรรม นูญไว้แล้ว กล่าวคือ วสันต์นั้นมี ’ที่มา“ จากผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์ ซึ่งตามรัฐธรรมนูญมาตรา 206 วรรค 2 (3) ระบุว่าให้กรรมการสรรหาคนใหม่ภายใน 30 วัน เพื่อส่งชื่อให้วุฒิสภาให้ความเห็นชอบ
กรรมการสรรหาที่ว่านั้นประกอบด้วย ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครอง ประธานรัฐสภา ผู้นำฝ่ายค้าน และ ประธานองค์กรอิสระ ที่เลือกกันเองมา 1 คน
โดยทั้งหมดต้องสรรหาให้เสร็จภายในวันที่ 31 สิงหาคม เพื่อส่งให้วุฒิสภาเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบภายใน 30 วัน หากเกิดกรณีไม่เห็นชอบก็ให้สรรหาคนใหม่ แต่หากกรรม การสรรหามีมติ ’เอกฉันท์“ ยืนยันชื่อเดิมก็ให้ นิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภานำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ
ในเดือนกันยายนนี้ ประธานศาลฎีกาจะเกษียณ ขณะที่ประธานองค์กรอิสระก็มีประธาน กกต. อภิชาต สุขัคคานนท์ ที่จะครบวาระในวันที่ 20 กันยายนนี้
จะเห็นว่า กระบวนการสรรหา ไม่ได้ยืดเยื้อจนกระทั่งมีผลจนทำให้เกิดปัญหาขึ้นในตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เพราะแค่ในขณะนี้มีอยู่ 8 คนก็ยังทำหน้าที่ลงมติวินิจฉัยได้อยู่
ตามขั้นตอนเมื่อครบองค์คณะทั้ง 9 คน ก็จะทำการเลือกประธานศาลรัฐธรรมนูญ แต่ในระหว่างนี้ก็ให้ จรูญ อินทจาร ผู้มีความอาวุโสสูงสุดปฏิบัติหน้าที่ประธานไปพลาง ๆ ก่อน
ประธานศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่จะชื่ออะไรนั้นถือว่ามีความสำคัญไม่น้อย แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ งานในอนาคตอันใกล้ที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต้องเผชิญซะมากกว่า
ประเด็นใหญ่ที่จะกลายเป็นปัญหาหากฝ่ายการเมืองอย่างพรรคเพื่อไทยเดินหน้า นั่นคือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ที่ก่อนหน้านี้เกิดข้อถกเถียงกันว่าต้องผ่านอัยการสูงสุดก่อนเท่านั้น จะพุ่งตรงไปที่ศาลรัฐธรรมนูญเลยไม่ได้ ปมดังกล่าวนำมาซึ่งความคิดจากอีกฝ่ายหนึ่งว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรานั้นสามารถทำได้เพราะเป็นอำนาจของฝ่าย นิติบัญญัติ ฝ่ายตุลาการอย่างศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจยับยั้ง กรณีดังกล่าวมีการส่งเรื่องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญซึ่งปัจจุบันได้รับเรื่องไว้ พิจารณาท่ามกลางการไม่ยอมรับของผู้ที่กำลังแก้ไขที่นำโดย ส.ส.พรรคเพื่อไทยและ ส.ว.ส่วนหนึ่งด้วยการไม่ส่งคำชี้แจง
กรณีการแก้ไขมาตรา 68 นี้กำลังจะเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมร่วมรัฐสภา ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นโอกาสจะเกิด “วิกฤติ” อันเป็นผลมาจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญขึ้นแน่
อย่าลืมว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ก็ยังอยู่ในวาระของที่ประชุมร่วมรัฐสภา ท่ามกลางข้อถกเถียงกันว่าตกไปหรือไม่ตกไป กรณีนี้มีความพยายามจากบางฝ่ายของพรรคเพื่อไทยผลักดันให้เดินหน้าโหวตในวาระ ที่ 3 ขณะที่บางฝ่ายของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยมองว่า หากเดินหน้าโหวตจะ “สุ่มเสี่ยง” ที่จะกระทบกับ “เสถียรภาพ” ของรัฐบาลได้
ใช่แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญเท่านั้น ศาลรัฐธรรมนูญยังมีหน้าที่วินิจฉัยด้วยว่าร่างกฎหมายที่ผ่านสภาออกมาบังคับ ใช้ว่าขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่
กรณีนี้มีผู้จับตาไปถึงร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทซึ่งเป็นอีกเรื่อง “ชี้เป็นชี้ตาย” เพราะก่อนหน้านี้คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายที่มี ดร.คณิต ณ นคร เป็นประธานก็ให้ความเห็นว่าหมิ่นเหม่ที่จะขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 169 ขณะที่ที่ปรึกษากฎหมายของรัฐบาลอย่างกฤษฎีกายืนยันว่าทำได้ แต่ท้ายที่สุดผู้ที่จะตัดสินเรื่องนี้ก็คือศาลรัฐธรรมนูญ
ด้วย 2 เรื่องร้อนดังกล่าวที่ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายเห็นตรงกันว่าจะเกิดปัญหา มีหรือที่วสันต์นักกฎหมายระดับอาจารย์ ผู้ทำหน้าที่โดยคำนึงถึงบ้านเมืองเหนือผลประโยชน์อื่นใดจะมองไม่เห็น การปล่อยให้ผู้ที่อยู่เผชิญปัญหาโดยที่ตัวเองลาออกไปจึงไม่น่าจะใช่วสันต์ ที่ทุกคนเห็น
การลาออกของวสันต์ จึงเป็นปรากฏการณ์ที่สั่นสะเทือนอย่างยิ่ง ส่วนจะสั่นสะเทือนไปทางไหน บอกอย่างอื่นไม่ได้นอกจากต้องบอกว่า โปรดติดตามตอนต่อไป และ อย่าได้กะพริบตาเป็นอันขาด.
ขอบคุณ http://www.dailynews.co.th/politics/220377 (ขนาดไฟล์: 167)
เดลินิวส์ออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 21 ก.ค.56
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ยังเป็นที่สงสัยกันอยู่ว่าสาเหตุ ’ที่แท้จริง“ ที่ วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ลาออกจากประธานศาลรัฐธรรมนูญเกิดจากสาเหตุประการอะไรกันแน่ กระแสส่วนใหญ่พุ่งน้ำหนักไปที่ ’สัญญาสุภาพบุรุษ“ ที่วสันต์เคยระบุไว้ครั้งเข้ามาทำหน้าที่ประธานศาลรัฐธรรม นูญแทน ชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญท่านก่อนหน้านี้ที่ลาออกจากเก้าอี้ลงมาทำหน้าที่ตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญอยู่ในปัจจุบัน แม้จะเป็น “สัญญาสุภาพบุรุษ” แต่หากเทียบกับภาระหน้าที่และการอาสาเข้ามาทำหน้าที่แล้วเป็นเรื่องที่ไม่ น่าสมเหตุสมผลเท่าไหร่นักโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์บ้านเมืองที่ต้องมี ผู้รักษากติกาคอยชี้ความถูกความผิด นับตั้งแต่ วสันต์ เข้ามารับตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2554 จนกระทั่งถึงวันลาออกที่ให้มีผลทางกฎหมายในวันที่ 1 สิงหาคม 2556 รวมแล้วก็เกือบจะครบ 2 ปีพอดี ตลอดเวลาของการทำหน้าที่ประธานศาลรัฐธรรมนูญมีคดีความสำคัญชี้ “ความเป็นไป” ของบ้านเมืองอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่ที่ต้องถือเป็นเรื่อง ’สำคัญที่สุด“ คือ กรณีการแก้ไขมาตรา 291 ที่พรรคเพื่อไทยอ้างว่าได้รับฉันทามติมาจากการเลือกตั้ง การแก้ไขครั้งนั้นแม้จะเป็นการแก้ไขรายมาตราแต่มีเจตนามุ่งหมายเพื่อจะนำไป สู่การให้มี สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือ ส.ส.ร. เพื่อมาแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ คดีนี้ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญยื่นเรื่องให้ตุลาการศาลรัฐ ธรรมนูญวินิจฉัยจนที่สุดมีคำพิพากษาที่กลายเป็น ’บรรทัดฐาน“ ที่ว่าหากจะแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับจะต้องคำนึงถึงประชาชนเพราะรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบันมาจากการทำ ’ประชามติ“ ปมสำคัญของคำพิพากษาคือ สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญในมาตรา 68 ’วงใน“ ระบุว่า วสันต์ เคยปรารภกับบางคนไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า จะลาออกจากการทำหน้าที่ก็ต่อเมื่อถึงช่วงระยะเวลา ’ที่เหมาะสม“ ซึ่งแน่นอนว่าไม่น่าจะใช่ในช่วงเวลาขณะนี้ มุมหนึ่งที่น่าสนใจคือการระบุช่วงเวลาในการพ้นจากตำแหน่งว่าให้มีผลในวันที่ 1 สิงหาคม 2556 นั้นน่าจะมาจากการคำนวณระยะเวลาของการได้ซึ่งตุลาการศาลรัฐธรรม นูญไว้แล้ว กล่าวคือ วสันต์นั้นมี ’ที่มา“ จากผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์ ซึ่งตามรัฐธรรมนูญมาตรา 206 วรรค 2 (3) ระบุว่าให้กรรมการสรรหาคนใหม่ภายใน 30 วัน เพื่อส่งชื่อให้วุฒิสภาให้ความเห็นชอบ กรรมการสรรหาที่ว่านั้นประกอบด้วย ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครอง ประธานรัฐสภา ผู้นำฝ่ายค้าน และ ประธานองค์กรอิสระ ที่เลือกกันเองมา 1 คน โดยทั้งหมดต้องสรรหาให้เสร็จภายในวันที่ 31 สิงหาคม เพื่อส่งให้วุฒิสภาเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบภายใน 30 วัน หากเกิดกรณีไม่เห็นชอบก็ให้สรรหาคนใหม่ แต่หากกรรม การสรรหามีมติ ’เอกฉันท์“ ยืนยันชื่อเดิมก็ให้ นิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภานำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ในเดือนกันยายนนี้ ประธานศาลฎีกาจะเกษียณ ขณะที่ประธานองค์กรอิสระก็มีประธาน กกต. อภิชาต สุขัคคานนท์ ที่จะครบวาระในวันที่ 20 กันยายนนี้ จะเห็นว่า กระบวนการสรรหา ไม่ได้ยืดเยื้อจนกระทั่งมีผลจนทำให้เกิดปัญหาขึ้นในตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เพราะแค่ในขณะนี้มีอยู่ 8 คนก็ยังทำหน้าที่ลงมติวินิจฉัยได้อยู่ ตามขั้นตอนเมื่อครบองค์คณะทั้ง 9 คน ก็จะทำการเลือกประธานศาลรัฐธรรมนูญ แต่ในระหว่างนี้ก็ให้ จรูญ อินทจาร ผู้มีความอาวุโสสูงสุดปฏิบัติหน้าที่ประธานไปพลาง ๆ ก่อน ประธานศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่จะชื่ออะไรนั้นถือว่ามีความสำคัญไม่น้อย แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ งานในอนาคตอันใกล้ที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต้องเผชิญซะมากกว่า ประเด็นใหญ่ที่จะกลายเป็นปัญหาหากฝ่ายการเมืองอย่างพรรคเพื่อไทยเดินหน้า นั่นคือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ที่ก่อนหน้านี้เกิดข้อถกเถียงกันว่าต้องผ่านอัยการสูงสุดก่อนเท่านั้น จะพุ่งตรงไปที่ศาลรัฐธรรมนูญเลยไม่ได้ ปมดังกล่าวนำมาซึ่งความคิดจากอีกฝ่ายหนึ่งว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรานั้นสามารถทำได้เพราะเป็นอำนาจของฝ่าย นิติบัญญัติ ฝ่ายตุลาการอย่างศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจยับยั้ง กรณีดังกล่าวมีการส่งเรื่องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญซึ่งปัจจุบันได้รับเรื่องไว้ พิจารณาท่ามกลางการไม่ยอมรับของผู้ที่กำลังแก้ไขที่นำโดย ส.ส.พรรคเพื่อไทยและ ส.ว.ส่วนหนึ่งด้วยการไม่ส่งคำชี้แจง กรณีการแก้ไขมาตรา 68 นี้กำลังจะเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมร่วมรัฐสภา ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นโอกาสจะเกิด “วิกฤติ” อันเป็นผลมาจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญขึ้นแน่ อย่าลืมว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ก็ยังอยู่ในวาระของที่ประชุมร่วมรัฐสภา ท่ามกลางข้อถกเถียงกันว่าตกไปหรือไม่ตกไป กรณีนี้มีความพยายามจากบางฝ่ายของพรรคเพื่อไทยผลักดันให้เดินหน้าโหวตในวาระ ที่ 3 ขณะที่บางฝ่ายของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยมองว่า หากเดินหน้าโหวตจะ “สุ่มเสี่ยง” ที่จะกระทบกับ “เสถียรภาพ” ของรัฐบาลได้ ใช่แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญเท่านั้น ศาลรัฐธรรมนูญยังมีหน้าที่วินิจฉัยด้วยว่าร่างกฎหมายที่ผ่านสภาออกมาบังคับ ใช้ว่าขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ กรณีนี้มีผู้จับตาไปถึงร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทซึ่งเป็นอีกเรื่อง “ชี้เป็นชี้ตาย” เพราะก่อนหน้านี้คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายที่มี ดร.คณิต ณ นคร เป็นประธานก็ให้ความเห็นว่าหมิ่นเหม่ที่จะขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 169 ขณะที่ที่ปรึกษากฎหมายของรัฐบาลอย่างกฤษฎีกายืนยันว่าทำได้ แต่ท้ายที่สุดผู้ที่จะตัดสินเรื่องนี้ก็คือศาลรัฐธรรมนูญ ด้วย 2 เรื่องร้อนดังกล่าวที่ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายเห็นตรงกันว่าจะเกิดปัญหา มีหรือที่วสันต์นักกฎหมายระดับอาจารย์ ผู้ทำหน้าที่โดยคำนึงถึงบ้านเมืองเหนือผลประโยชน์อื่นใดจะมองไม่เห็น การปล่อยให้ผู้ที่อยู่เผชิญปัญหาโดยที่ตัวเองลาออกไปจึงไม่น่าจะใช่วสันต์ ที่ทุกคนเห็น การลาออกของวสันต์ จึงเป็นปรากฏการณ์ที่สั่นสะเทือนอย่างยิ่ง ส่วนจะสั่นสะเทือนไปทางไหน บอกอย่างอื่นไม่ได้นอกจากต้องบอกว่า โปรดติดตามตอนต่อไป และ อย่าได้กะพริบตาเป็นอันขาด. ขอบคุณ http://www.dailynews.co.th/politics/220377 เดลินิวส์ออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 21 ก.ค.56
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)