ประชามติคือทางออก
การยุบสภาอาจจะไม่ได้เป็นแค่คำขู่แต่อาจกลายเป็นจริงได้ นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์เดอะเนชั่นว่า ถ้าความขัดแย้งระหว่างศาลรัฐธรรมนูญกับฝ่ายนิติบัญญัติหาข้อยุติไม่ได้ รัฐบาลอาจหาทางออกด้วยการยุบสภาเลือกตั้งใหม่ตรงกับที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยบางคนเคยเปิดเผยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็พูดถึงการยุบสภา
ความขัดแย้งในขณะนี้กลายเป็น “วิกฤติรัฐธรรมนูญ” เพราะเป็นความขัดแย้งระหว่างสมาชิกรัฐสภาบางส่วนกับศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับ อำนาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลและ ส.ว.บางส่วนเห็นว่ารัฐสภามีอำนาจแก้ไขรัฐธรรมนูญ การที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของ ส.ว.ที่คัดค้านการแก้ไขมาตรา 68 ไว้พิจารณาเป็นการก้าวก่ายอำนาจนิติบัญญัติ
เป็นความขัดแย้งเรื่อง อำนาจการแก้ไขรัฐธรรมนูญและไม่สามารถหาข้อยุติได้ เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญผู้มีอำนาจวินิจฉัยกลายเป็นคู่ขัดแย้งเสียเอง จึงไม่ทราบว่าองค์กรใดจะมีอำนาจชี้ขาด การขอแก้ไขรัฐธรรมนูญของฝ่ายรัฐบาล ทั้งที่มุ่งจะแก้ไขทั้งฉบับ และขอแก้ไขเป็นรายมาตรา จึงสะดุดอยู่ในสภา ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ได้ชี้ขาดว่าแก้ไขได้หรือไม่?
ฝ่ายรัฐบาลจึงอาจ หาทางออกด้วยการยุบสภา เพื่อให้เลือกตั้ง ส.ส.ใหม่ทั้งประเทศ แต่ก็ไม่มั่นใจว่าจะยุติความขัดแย้งได้หรือไม่? ถึงแม้พรรคเพื่อไทยจะชนะเลือกตั้งท่วมท้นก็ไม่ได้ตอบคำถามอย่างตรงๆว่าจะให้ ยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2550 และยกร่างขึ้นใหม่หรือไม่? และอาจเป็นเพียงการใช้เสียงข้างมากท้าทายและข่มขู่ศาล ไม่ได้ยุติความขัดแย้ง
ถ้ารัฐบาลยืนยันที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ไม่ควรใช้วิธีสับขาหลอกหรือลับลวงพรางอีกต่อไป แต่ควรให้ลงประชามติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 165 ถามประชาชนอย่างตรงไปตรงมาว่า “เห็นด้วย” หรือ “ไม่เห็นด้วย” และทำการรณรงค์ชี้แจงต่อคนทั้งประเทศ จะแก้ไขประเด็นใดบ้าง? จะยุบหรือลดอำนาจศาลและองค์กรอิสระ? หรือจะเปลี่ยนที่มาองค์กรอิสระ?
ถ้าเสียงข้างมากของผู้ลงประชามติ เห็นชอบกับการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ความขัดแย้งเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญระหว่างศาลรัฐธรรมนูญกับฝ่ายรัฐบาล ก็เป็นอันยุติตามคำชี้ขาดของประชาชน ไม่เสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจเหมือนกับการยุบสภา ฝ่ายรัฐบาลยังเป็นรัฐบาล การบริหารประเทศไม่หยุดชะงัก ส่วนฝ่ายค้านก็เป็นฝ่ายค้านต่อไป
แต่ถ้ารัฐบาลยังไม่พร้อมที่จะให้ ประชาชนตัดสินก็อาจทำตามคำแนะนำของประชาชนผ่านเอแบคโพลเมื่อต้นเดือนมกราคม ที่ผ่านมา 73.1% เห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ใช่เวทีการขจัดความขัดแย้ง 87.8% เชื่อว่าจะทำให้ขัดแย้ง 85.9% ให้แก้ปัญหาปากท้องของประชาชนก่อน 89.6% ให้แก้ไขนิสัยไม่ดีของนักการเมืองก่อนแก้ไขรัฐธรรมนูญ
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
การยุบสภาอาจจะไม่ได้เป็นแค่คำขู่แต่อาจกลายเป็นจริงได้ นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์เดอะเนชั่นว่า ถ้าความขัดแย้งระหว่างศาลรัฐธรรมนูญกับฝ่ายนิติบัญญัติหาข้อยุติไม่ได้ รัฐบาลอาจหาทางออกด้วยการยุบสภาเลือกตั้งใหม่ตรงกับที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยบางคนเคยเปิดเผยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็พูดถึงการยุบสภา ความขัดแย้งในขณะนี้กลายเป็น “วิกฤติรัฐธรรมนูญ” เพราะเป็นความขัดแย้งระหว่างสมาชิกรัฐสภาบางส่วนกับศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับ อำนาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลและ ส.ว.บางส่วนเห็นว่ารัฐสภามีอำนาจแก้ไขรัฐธรรมนูญ การที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของ ส.ว.ที่คัดค้านการแก้ไขมาตรา 68 ไว้พิจารณาเป็นการก้าวก่ายอำนาจนิติบัญญัติ เป็นความขัดแย้งเรื่อง อำนาจการแก้ไขรัฐธรรมนูญและไม่สามารถหาข้อยุติได้ เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญผู้มีอำนาจวินิจฉัยกลายเป็นคู่ขัดแย้งเสียเอง จึงไม่ทราบว่าองค์กรใดจะมีอำนาจชี้ขาด การขอแก้ไขรัฐธรรมนูญของฝ่ายรัฐบาล ทั้งที่มุ่งจะแก้ไขทั้งฉบับ และขอแก้ไขเป็นรายมาตรา จึงสะดุดอยู่ในสภา ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ได้ชี้ขาดว่าแก้ไขได้หรือไม่? ฝ่ายรัฐบาลจึงอาจ หาทางออกด้วยการยุบสภา เพื่อให้เลือกตั้ง ส.ส.ใหม่ทั้งประเทศ แต่ก็ไม่มั่นใจว่าจะยุติความขัดแย้งได้หรือไม่? ถึงแม้พรรคเพื่อไทยจะชนะเลือกตั้งท่วมท้นก็ไม่ได้ตอบคำถามอย่างตรงๆว่าจะให้ ยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2550 และยกร่างขึ้นใหม่หรือไม่? และอาจเป็นเพียงการใช้เสียงข้างมากท้าทายและข่มขู่ศาล ไม่ได้ยุติความขัดแย้ง ถ้ารัฐบาลยืนยันที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ไม่ควรใช้วิธีสับขาหลอกหรือลับลวงพรางอีกต่อไป แต่ควรให้ลงประชามติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 165 ถามประชาชนอย่างตรงไปตรงมาว่า “เห็นด้วย” หรือ “ไม่เห็นด้วย” และทำการรณรงค์ชี้แจงต่อคนทั้งประเทศ จะแก้ไขประเด็นใดบ้าง? จะยุบหรือลดอำนาจศาลและองค์กรอิสระ? หรือจะเปลี่ยนที่มาองค์กรอิสระ? ถ้าเสียงข้างมากของผู้ลงประชามติ เห็นชอบกับการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ความขัดแย้งเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญระหว่างศาลรัฐธรรมนูญกับฝ่ายรัฐบาล ก็เป็นอันยุติตามคำชี้ขาดของประชาชน ไม่เสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจเหมือนกับการยุบสภา ฝ่ายรัฐบาลยังเป็นรัฐบาล การบริหารประเทศไม่หยุดชะงัก ส่วนฝ่ายค้านก็เป็นฝ่ายค้านต่อไป แต่ถ้ารัฐบาลยังไม่พร้อมที่จะให้ ประชาชนตัดสินก็อาจทำตามคำแนะนำของประชาชนผ่านเอแบคโพลเมื่อต้นเดือนมกราคม ที่ผ่านมา 73.1% เห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ใช่เวทีการขจัดความขัดแย้ง 87.8% เชื่อว่าจะทำให้ขัดแย้ง 85.9% ให้แก้ปัญหาปากท้องของประชาชนก่อน 89.6% ให้แก้ไขนิสัยไม่ดีของนักการเมืองก่อนแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขอบคุณ http://www.thairath.co.th/column/pol/editor/344661
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)