พันธมิตรฯค้านแก้รัฐธรรมนูญ-กู้2ล้านล้าน
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
พันธมิตรฯแถลงการณ์ค้านแก้รธน. 4 มาตรา ซัดเอื้อประโยชน์นักการเมือง หนุนส.ว.ยื่นศาล รธน.วินิจฉัย ลั่นค้านกม.กู้เงิน 2 ล้านล้าน ขู่ชุมนุมใหญ่
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แถลงภายหลังประชุมแกนนำพันธมิตรฯ รุ่น 1-2 ว่า การประชุมครั้งนี้เพื่อประเมินสถานการณ์ทางการเมือง และกำหนดท่าทีเคลื่อนไหว โดยออกแถลงการณ์ฉบับที่ 2/2556 เรื่องคัดค้านการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ของนักการเมืองด้วยกันเอง และคัดค้านกฎหมายกู้เงินมหาศาลสร้างหนี้สินให้กับชาติ
นายปานเทพ กล่าวว่า ตามที่พันธมิตรฯ เคยจัดการประชุมที่สวนลุมพินี เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2555 ในการปรึกษาหารือ ระดมความคิดเห็น ซึ่งที่ประชุมได้มีมติปรากฏเป็นแถลงการณ์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ฉบับที่ 2/2555 ว่าการชุมนุมครั้งใหญ่นั้นพันธมิตรฯ ยังคงมีความจำเป็นต้องใช้การชุมนุมเพื่อเคลื่อนไหวต่อไป ภายใต้เงื่อนไข 1.การดำเนินการใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือออกกฎหมายอื่นใด ที่มีความชัดเจนว่าจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือลดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ 2.มีการดำเนินการใดๆ ก็ตามไม่ว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือออกกฎหมายอื่นใด ที่มีความชัดเจนว่าจะนำไปสู่การนิรโทษกรรมให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ 3.เมื่อเหตุการณ์บ้านเมืองเข้าสู่สถานการณ์ความเหมาะสมที่ประชาชนต้องการการ เปลี่ยนแปลงประเทศไทยครั้งใหญ่
นายปานเทพ กล่าวต่อว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 เป็นรายมาตรา ได้แก่ มาตรา 68 มาตรา 111 มาตรา 190 มาตรา 237 และการเสนอร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ ซึ่งจะสร้างหนี้สินให้กับประเทศ 2 ล้านล้านบาทนั้น พันธมิตรฯ เห็นว่าทั้ง 2 เรื่องจะสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติ โดยเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 นักการเมืองฝ่ายรัฐบาลแสดงเจตนาชัดเจนที่จะริดรอนสิทธิประชาชนในการยื่นคำ ร้องโดยตรงต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดยให้ประชาชนมีสิทธิ์ยื่นคำร้องผ่านอัยการสูงสุดตามมาตรา 68 ได้เฉพาะในหมวดที่ 3 อันหมายถึงสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลเท่านั้น หมายความว่าหากนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลทำการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ซึ่งอยู่ในหมวดที่ 5 เพื่อนำไปสู่การล้มล้างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ประชาชนจะไม่สามารถยื่นคำร้องถึงศาลรัฐธรรมนูญได้
นายปานเทพ กล่าวอีกว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 เป็นสิ่งที่อันตรายต่อประเทศชาติ เพราะได้ตัดหนังสือสัญญา 3 กลุ่มใหญ่ออกจากมาตรา 190 ปัจจุบัน หากสำเร็จกิจด้วยเสียงข้างมาก หนังสือสัญญา 3 ประเภทไม่ต้องนำเข้ามาขอความเห็นชอบจากรัฐสภา 1.หนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงเขตพื้นที่นอกอาณาเขต ซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยหรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญาหรือตามกฎหมาย ระหว่างประเทศ 2.หนังสือสัญญาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศ อย่างกว้างขวาง และ 3.หนังสือสัญญาที่มีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน หรืองบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ถือว่าเป็นการทำลายการถ่วงดุลตรวจสอบของฝ่ายนิติบัญญัติอย่างชัดเจน
นายปานเทพ กล่าวด้วยว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 111 เพื่อให้ส.ว.เพิ่มจำนวนเป็น 200 คน ให้มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด และไม่จำกัดวาระการดำรงตำแหน่ง และทำให้ส.ว.ที่มาจากการเลือกตั้งที่จะหมดวาระในเดือนมีนาคม 2557 สามารถสมัครรับเลือกตั้งต่อได้ทันที จึงชัดเจนว่ารัฐบาลซึ่งมีเสียงข้างมากในสภา ต้องการให้ส.ว.ที่มาจากการเลือกตั้งในเบ้าหลอมลักษณะเดียวกันกับส.ส. จะทำให้ส.ว.ต้องอาศัยฐานเสียงเดียวกันกับส.ส. และต้องอาศัยอิทธิพล รวมถึงระบบอุปถัมภ์เดียวกันกับส.ส. จึงทำให้ส.ว.ที่มาจากการเลือกตั้งจำนวนมากได้ปฏิบัติตัวเป็นทาสของฝ่าย รัฐบาลในการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตน นอกจากนี้กระบวนการแต่งตั้งองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งต้องมาจากส.ว. ยังคงอยู่ภายใต้อำนาจทางการเมืองของฝ่ายรัฐบาล ซึ่งจะเป็นผลทำให้เกิดการรวบอำนาจ และทำให้องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญไม่สามารถตรวจสอบอำนาจรัฐบาลได้จริง
นายปานเทพ กล่าวว่า ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 237 เพื่อยกเลิกโทษยุบพรรคการเมือง และการเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคการเมือง กรณีนี้เห็นชัดเจนว่านักการเมืองไม่มีความจริงใจที่จะเพิ่มบทลงโทษรุนแรงกับ ผู้ที่กระทำความผิดทุจริตเลือกตั้ง อีกทั้งผู้เสนอทั้งหมดก็จะได้ประโยชน์ต่อพรรคการเมืองและตำแหน่งของตน จึงถือเป็นการกระทำที่ขัดกันแห่งผลประโยชน์ อย่างไรก็ตาม พันธมิตรฯ ขอสนับสนุนสมาชิกรัฐสภาที่ได้ยื่นคำร้องต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัย ในข้อกฎหมายดังกล่าว ว่าเป็นการกระทำที่ขัดกันกับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ ทั้งประเด็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญนี้ และเป็นการกระทำที่เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ของสมาชิกรัฐสภา
นายปานเทพ กล่าวว่า ขณะที่การเสนอร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ ซึ่งจะสร้างหนี้สินให้กับประเทศ 2 ล้านล้านบาท ชัดเจนว่าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว หลีกเลี่ยงในวิธีพิจารณางบประมาณโดยปกติ ไม่มีความชัดเจนและรายละเอียดเนื้อหาของแต่ละโครงการ และยังมีบทบัญญัติที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 169 ที่ไม่นำเงินส่งคลังตามกฎหมายวิธีการงบประมาณและกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง ยังให้อำนาจให้กระทรวงการคลังนำเงินจากการกู้ไปให้กู้ต่อแก่หน่วยงานของรัฐ เพื่อนำไปใช้จ่ายได้อีกด้วย ในขณะที่บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญมาตรา 169 กำหนดให้การจ่ายเงินแผ่นดินจะกระทำได้เฉพาะที่ได้อนุญาตไว้ในกฎหมายว่าด้วย งบประมาณรายจ่าย กฎหมายวิธีการงบประมาณ กฎหมายเกี่ยวข้องด้วยการโอนงบประมาร หรือกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง ทำให้กรณีนี้เป็นร่างกฎหมายที่ขัดต่อบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน
นายปานเทพ กล่าวว่า เรื่องการกู้พันธมิตรฯ ขอสนับสนุน พร้อมให้กำลังใจในการที่อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ 2550 ที่ยื่นคำร้องดังกล่าวต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่ง ชาติ(ป.ป.ช.) เพื่อให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้ลงโทษต่อนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี และขอสนับสนุนสมาชิกรัฐสภาที่จะยื่นคำร้องให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญให้ วินิจฉัยการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 169 นี้
"ทั้ง 2 เรื่องแกนนำมีมติมอบหมายให้ทนายพันธมิตรฯ ไปปรึกษากับนักวิชาการและนักกฎหมายเพื่อศึกษาข้อกฎหมาย หากพบประเด็นหรือช่องทางเพิ่มเติมหรือบทลงโทษต่อผู้ที่กระทำความผิดตาม กระบวนการยุติธรรม ให้ดำเนินการทางกฎหมายต่อเนื่องจนถึงที่สุด" นายปานเทพ กล่าว
ด้านพล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวว่า การชุมนุมทุกครั้งของพันธมิตรฯ ต้องมีสถานการณ์ทางการเมืองเกิดขึ้น และตอนนั้นก็พร้อมเรียกประชุมแกนนำเพื่อตัดสินใจได้ทันที ซึ่งกรณีนี้ไม่ต้องเป็นห่วง ทุกอย่างต้องประเมินสถานการณ์อย่างรอบคอ
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พันธมิตรฯแถลงการณ์ค้านแก้รธน. 4 มาตรา ซัดเอื้อประโยชน์นักการเมือง หนุนส.ว.ยื่นศาล รธน.วินิจฉัย ลั่นค้านกม.กู้เงิน 2 ล้านล้าน ขู่ชุมนุมใหญ่ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แถลงภายหลังประชุมแกนนำพันธมิตรฯ รุ่น 1-2 ว่า การประชุมครั้งนี้เพื่อประเมินสถานการณ์ทางการเมือง และกำหนดท่าทีเคลื่อนไหว โดยออกแถลงการณ์ฉบับที่ 2/2556 เรื่องคัดค้านการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ของนักการเมืองด้วยกันเอง และคัดค้านกฎหมายกู้เงินมหาศาลสร้างหนี้สินให้กับชาติ นายปานเทพ กล่าวว่า ตามที่พันธมิตรฯ เคยจัดการประชุมที่สวนลุมพินี เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2555 ในการปรึกษาหารือ ระดมความคิดเห็น ซึ่งที่ประชุมได้มีมติปรากฏเป็นแถลงการณ์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ฉบับที่ 2/2555 ว่าการชุมนุมครั้งใหญ่นั้นพันธมิตรฯ ยังคงมีความจำเป็นต้องใช้การชุมนุมเพื่อเคลื่อนไหวต่อไป ภายใต้เงื่อนไข 1.การดำเนินการใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือออกกฎหมายอื่นใด ที่มีความชัดเจนว่าจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือลดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ 2.มีการดำเนินการใดๆ ก็ตามไม่ว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือออกกฎหมายอื่นใด ที่มีความชัดเจนว่าจะนำไปสู่การนิรโทษกรรมให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ 3.เมื่อเหตุการณ์บ้านเมืองเข้าสู่สถานการณ์ความเหมาะสมที่ประชาชนต้องการการ เปลี่ยนแปลงประเทศไทยครั้งใหญ่ นายปานเทพ กล่าวต่อว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 เป็นรายมาตรา ได้แก่ มาตรา 68 มาตรา 111 มาตรา 190 มาตรา 237 และการเสนอร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ ซึ่งจะสร้างหนี้สินให้กับประเทศ 2 ล้านล้านบาทนั้น พันธมิตรฯ เห็นว่าทั้ง 2 เรื่องจะสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติ โดยเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 นักการเมืองฝ่ายรัฐบาลแสดงเจตนาชัดเจนที่จะริดรอนสิทธิประชาชนในการยื่นคำ ร้องโดยตรงต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดยให้ประชาชนมีสิทธิ์ยื่นคำร้องผ่านอัยการสูงสุดตามมาตรา 68 ได้เฉพาะในหมวดที่ 3 อันหมายถึงสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลเท่านั้น หมายความว่าหากนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลทำการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ซึ่งอยู่ในหมวดที่ 5 เพื่อนำไปสู่การล้มล้างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ประชาชนจะไม่สามารถยื่นคำร้องถึงศาลรัฐธรรมนูญได้ นายปานเทพ กล่าวอีกว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 เป็นสิ่งที่อันตรายต่อประเทศชาติ เพราะได้ตัดหนังสือสัญญา 3 กลุ่มใหญ่ออกจากมาตรา 190 ปัจจุบัน หากสำเร็จกิจด้วยเสียงข้างมาก หนังสือสัญญา 3 ประเภทไม่ต้องนำเข้ามาขอความเห็นชอบจากรัฐสภา 1.หนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงเขตพื้นที่นอกอาณาเขต ซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยหรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญาหรือตามกฎหมาย ระหว่างประเทศ 2.หนังสือสัญญาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศ อย่างกว้างขวาง และ 3.หนังสือสัญญาที่มีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน หรืองบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ถือว่าเป็นการทำลายการถ่วงดุลตรวจสอบของฝ่ายนิติบัญญัติอย่างชัดเจน นายปานเทพ กล่าวด้วยว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 111 เพื่อให้ส.ว.เพิ่มจำนวนเป็น 200 คน ให้มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด และไม่จำกัดวาระการดำรงตำแหน่ง และทำให้ส.ว.ที่มาจากการเลือกตั้งที่จะหมดวาระในเดือนมีนาคม 2557 สามารถสมัครรับเลือกตั้งต่อได้ทันที จึงชัดเจนว่ารัฐบาลซึ่งมีเสียงข้างมากในสภา ต้องการให้ส.ว.ที่มาจากการเลือกตั้งในเบ้าหลอมลักษณะเดียวกันกับส.ส. จะทำให้ส.ว.ต้องอาศัยฐานเสียงเดียวกันกับส.ส. และต้องอาศัยอิทธิพล รวมถึงระบบอุปถัมภ์เดียวกันกับส.ส. จึงทำให้ส.ว.ที่มาจากการเลือกตั้งจำนวนมากได้ปฏิบัติตัวเป็นทาสของฝ่าย รัฐบาลในการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตน นอกจากนี้กระบวนการแต่งตั้งองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งต้องมาจากส.ว. ยังคงอยู่ภายใต้อำนาจทางการเมืองของฝ่ายรัฐบาล ซึ่งจะเป็นผลทำให้เกิดการรวบอำนาจ และทำให้องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญไม่สามารถตรวจสอบอำนาจรัฐบาลได้จริง นายปานเทพ กล่าวว่า ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 237 เพื่อยกเลิกโทษยุบพรรคการเมือง และการเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคการเมือง กรณีนี้เห็นชัดเจนว่านักการเมืองไม่มีความจริงใจที่จะเพิ่มบทลงโทษรุนแรงกับ ผู้ที่กระทำความผิดทุจริตเลือกตั้ง อีกทั้งผู้เสนอทั้งหมดก็จะได้ประโยชน์ต่อพรรคการเมืองและตำแหน่งของตน จึงถือเป็นการกระทำที่ขัดกันแห่งผลประโยชน์ อย่างไรก็ตาม พันธมิตรฯ ขอสนับสนุนสมาชิกรัฐสภาที่ได้ยื่นคำร้องต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัย ในข้อกฎหมายดังกล่าว ว่าเป็นการกระทำที่ขัดกันกับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ ทั้งประเด็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญนี้ และเป็นการกระทำที่เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ของสมาชิกรัฐสภา นายปานเทพ กล่าวว่า ขณะที่การเสนอร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ ซึ่งจะสร้างหนี้สินให้กับประเทศ 2 ล้านล้านบาท ชัดเจนว่าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว หลีกเลี่ยงในวิธีพิจารณางบประมาณโดยปกติ ไม่มีความชัดเจนและรายละเอียดเนื้อหาของแต่ละโครงการ และยังมีบทบัญญัติที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 169 ที่ไม่นำเงินส่งคลังตามกฎหมายวิธีการงบประมาณและกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง ยังให้อำนาจให้กระทรวงการคลังนำเงินจากการกู้ไปให้กู้ต่อแก่หน่วยงานของรัฐ เพื่อนำไปใช้จ่ายได้อีกด้วย ในขณะที่บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญมาตรา 169 กำหนดให้การจ่ายเงินแผ่นดินจะกระทำได้เฉพาะที่ได้อนุญาตไว้ในกฎหมายว่าด้วย งบประมาณรายจ่าย กฎหมายวิธีการงบประมาณ กฎหมายเกี่ยวข้องด้วยการโอนงบประมาร หรือกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง ทำให้กรณีนี้เป็นร่างกฎหมายที่ขัดต่อบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน นายปานเทพ กล่าวว่า เรื่องการกู้พันธมิตรฯ ขอสนับสนุน พร้อมให้กำลังใจในการที่อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ 2550 ที่ยื่นคำร้องดังกล่าวต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่ง ชาติ(ป.ป.ช.) เพื่อให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้ลงโทษต่อนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี และขอสนับสนุนสมาชิกรัฐสภาที่จะยื่นคำร้องให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญให้ วินิจฉัยการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 169 นี้ "ทั้ง 2 เรื่องแกนนำมีมติมอบหมายให้ทนายพันธมิตรฯ ไปปรึกษากับนักวิชาการและนักกฎหมายเพื่อศึกษาข้อกฎหมาย หากพบประเด็นหรือช่องทางเพิ่มเติมหรือบทลงโทษต่อผู้ที่กระทำความผิดตาม กระบวนการยุติธรรม ให้ดำเนินการทางกฎหมายต่อเนื่องจนถึงที่สุด" นายปานเทพ กล่าว ด้านพล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวว่า การชุมนุมทุกครั้งของพันธมิตรฯ ต้องมีสถานการณ์ทางการเมืองเกิดขึ้น และตอนนั้นก็พร้อมเรียกประชุมแกนนำเพื่อตัดสินใจได้ทันที ซึ่งกรณีนี้ไม่ต้องเป็นห่วง ทุกอย่างต้องประเมินสถานการณ์อย่างรอบคอ ขอบคุณ http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/politics/20130404/498859/พันธมิตรฯค้านแก้รัฐธรรมนูญ-กู้2ล้านล้าน.html
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)