แก้รัฐธรรมนูญ:เกมรุกคืบกุมอำนาจ
การแก้ไขรัฐธรรมนูญ "เป้าจริง" อีกเรื่อง นอกจาก "ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท" ที่รัฐบาลต้องผลักดันออกมาให้ได้ ไม่เหมือนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่เป็นแค่ "เป้าลวง" ที่รัฐบาลแค่ขยับเพื่อเอาใจมวลชนคนเสื้อแดงเท่านั้น
"ถ้าเดินหน้าแก้ทั้งฉบับจะมีปัญหา ถูกยื่นตีความอีกได้ ทำให้รัฐบาลล้มได้ แต่ถ้าแก้ไขเป็นรายมาตราก็ไม่มีปัญหา สามารถทยอยแก้ไขได้ ถ้าไม่แก้เป็นรายมาตราก็คงแก้รัฐธรรมนูญไม่ได้" คำพูดของ อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริง ที่สไกป์เข้ามาในที่ประชุมพรรคเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา อธิบายถึงเหตุผลที่ต้องเปลี่ยนวิธีการแก้รัฐธรรมนูญจากแบบยกร่างใหม่ทั้ง ฉบับมาเป็นแบบรายมาตรา
หากจำได้ "ทักษิณ" เคยพูดผ่านเวทีชุมนุมของคนเสื้อแดงที่โบนันซ่า เขาใหญ่ ปลายปีที่แล้วว่า การจะให้คนออกมาใช้สิทธิลงประชามติให้ได้เกินครึ่ง เพื่อผลักดันแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับเป็นเรื่อง "หมู" แต่ถึงวันนี้แสดงให้เห็นแล้วว่า "ไม่ใช่"
จากที่คิดจะแก้รัฐธรรมนูญแบบม้วนเดียวจบ โดยให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ขึ้นมายกร่าง "ทักษิณ" จึงต้องเปลี่ยนแนวทางมาเป็นแก้รายมาตรา
การแก้รัฐธรรมนูยทั้งฉบับโดย ส.ส.ร. แม้จะอ้างว่าไม่มีใครบงการ ส.ส.ร.ทั้ง 99 คนได้ แต่รูปแบบที่มาของ ส.ส.ร.ที่มาจากการเลือกตั้งจังหวัดละคน และการคัดเลือกที่ดำเนินการโดยประธานรัฐสภาก็ถูกมองว่าเสียงข้างมากของ ส.ส.ร.น่าจะเป็นคนสายรัฐบาล การทำอะไรมัก "ได้อย่างใจ" ย่อมมีคนมองว่าเป้าหมายสูงสุดในการแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับคงหนีไม่พ้นการ "ตัด" มาตรา 309 ออกไปจากรัฐธรรมนูญที่น่าจะเป็น "ประตู" ไปสู่การ "ล้างมลทิน" ให้ทักษิณ
"มาตรา 309" ซึ่งเป็นบทเฉพาะกาลแนบท้ายรัฐธรรมนูญ 2550 ที่ระบุว่า "บรรดาการใดๆ ที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 ว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าวไม่ว่าก่อนหรือหลังวันประกาศ ใช้รัฐธรรมนูญนี้ให้ถือว่าการนั้นและการกระทำนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้"
ตราบใดที่มาตรา 309 ยังไม่ถูกตัดออกแสดงว่าการแก้รัฐธรรมนูญตามเป้าหมายยังไม่สำเร็จ เพราะแก้ไขหรือยกเลิก มาตรา 309 สำเร็จ จะทำให้การกระทำใดๆ อันเกิดขึ้นหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่ประกาศโดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ถูกยกเลิกไปโดยปริยายและย่อมจะเป็นการปลดล็อกช่วยเหลือ ทักษิณ ให้หลุดพ้นจากพันธนาการคดีความต่างๆ เหมือนที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตไว้
การเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราครั้งนี้มีประเด็นน่าสนใจ 2 เรื่องคือ "ผู้เสนอแก้ไข" และ "หัวใจ" ในการเสนอแก้ไข
เรื่องแรก คือ "ผู้เสนอแก้ไข" ได้ปรับใหม่จากเดิมที่ "คนในปีกรัฐบาล" เป็นผู้เสนอแก้ไข แต่ครั้งนี้มีส.ว.มาเป็นแนวร่วมด้วย คนแรกคือ "ดิเรก ถึงฝั่ง" ส.ว.นนทบุรี ซึ่งเคยจะลงชิงตำแหน่งประธานวุฒิสภา แต่ภายหลังหลีกทางให้ "นิคม ไวยรัชพานิช" ส.ว.ที่ถูกมองว่ามีสายสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาลอีกคนได้ตำแหน่งไป และส.ว.อีกคนที่เสนอแก้รัฐธรรมนูญ คือ "ประสิทธิ์ โพธสุธน" ส.ว. สุพรรณบุรี พี่ชาย "ประภัตร โพธสุธน" อดีตส.ส.และอดีตรัฐมนตรีของพรรคชาติไทยที่สนิทแนบแน่นกับทักษิณมายาวนาน
โดย ส.ส.รัฐบาลเสนอแก้ไขเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวุฒิสภา คือ ที่มาและวาระของ ส.ว. และให้ ส.ว.เป็นคนเสนอเกี่ยวกับเรื่องยุบพรรค เรื่องอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ และมาตรา 190 ที่เกี่ยวกับการทำสัญญากับต่างประเทศ เพื่อตัดข้อครหาเรื่องการเสนอแก้ไขในประเด็นที่เป็นผลประโยชน์ขัดกัน แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกมองว่าเป็นการเสนอแก้ รัฐธรรมนูญแบบแลกผลประโยชน์กัน คือ ส.ว.เสนอมาตราที่รัฐบาลต้องการ และรัฐบาลเสนอประเด็นที่ ส.ว.ต้องการ
"จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์" ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า การแก้ไขให้ส.ว.สามารถลงรับสมัครเลือกตั้งได้ติดต่อกัน จากเดิมที่ต้องเว้นวรรค 5 ปีก่อนที่จะลงรับสมัครใหม่อีกครั้ง ตรงนี้ชัดเจนว่า เป็นผลประโยชน์ต่างตอบแทน ที่ส.ส.และส.ว.ร่วมเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ
สอดคล้องกับมีเสียงจากพรรครัฐบาลที่เปิดเผยถึงกรอบเวลาการแก้รัฐธรรมนูญ ครั้งนี้จะให้แล้วเสร็จภายในปลายปีนี้ เพื่อให้ทันการเลือกตั้งส.ว.ที่จะมีขึ้นในปีหน้า ก็ยิ่งตอกย้ำเรื่องที่ถูกมองเป็น "ผลประโยชน์ต่างตอบแทน"
อีกเรื่อง คือ "หัวใจ" ในการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ที่สำคัญที่สุดน่าจะเป็นการเสนอแก้ไขมาตรา 68 สาระสำคัญคือ การยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้พิจารณาสั่งยุบพรรคกรณีบุคคลหรือพรรคนั้นกระทำ การที่เป็นการล้มล้างการปกครอง ต้องยื่นผ่านอัยการสูงสุดก่อน จะยื่นตรงมาที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้ เรื่องนี้เป็นปัญหากับพรรคเพื่อไทยชัดเจน หลังจากพรรคเคยถูกศาลรัฐธรรมนูญเบรกเรื่องการยกร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับว่า ควรทำประชามติ ซึ่งเป็นการวินิจฉัยหลังจากมีคนไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง
"อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ วิเคราะห์ถึงเป้าหมายการแก้ไขมาตรา 68 ไว้ว่า "อาจดูเหมือนเป็นเพียงการลดช่องทางของประชาชนที่จะไปฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อมาดูกรอบของที่มาที่ไปของเหตุการณ์ต่างๆ ว่า การใช้มาตรานี้ก็คือเป็นการหยุดยั้ง หรือระงับกระบวนการของการรื้อรัฐธรรมนูญทั้งฉบับมาก่อนหน้านี้ ก็ทำให้เราวิเคราะห์กันว่า ถ้าผ่านตามที่แก้ไขครั้งนี้คงมีความพยายามที่จะหยิบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ขึ้นที่ค้างอยู่ในสภามาพิจารณาใหม่ อาจนำไปสู่การยกมือโหวตผ่านวาระ 3 และนำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับก็ได้"
เรื่อง "ยุบพรรค" ก็เป็นอีกเรื่องสำคัญของการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราครั้งนี้ เพราะพรรคเพื่อไทยมองว่าเรื่องนี้เป็นเหมือน "หอกข้างแคร่" ที่ฝ่ายตรงข้ามหยิบขึ้นมาเล่นงานเมื่อไรก็ได้ และแม้จะเริ่มชินกับการถูกยุบพรรค หลังจากโดนยุบมา 2 รอบและยังสามารถกลับมายิ่งใหญ่ได้อีก แต่ก็ไม่ต้องการให้เกิดอีก เช่นที่ "ภูมิธรรม เวชยชัย" เลขาธิการพรรค เคยยอมรับตรงๆ ว่า ยังกลัวกับการยุบพรรค และบอกว่า "หากยุบพรรค ก็ต้องเริ่มต้นใหม่ เริ่มต้นใหม่บ่อยๆ ก็เหนื่อย"
จับตาว่า "ปฏิบัติการรุกคืบ" เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายของฝ่ายทักษิณจะสำเร็จหรือไม่?
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
การแก้ไขรัฐธรรมนูญ "เป้าจริง" อีกเรื่อง นอกจาก "ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท" ที่รัฐบาลต้องผลักดันออกมาให้ได้ ไม่เหมือนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่เป็นแค่ "เป้าลวง" ที่รัฐบาลแค่ขยับเพื่อเอาใจมวลชนคนเสื้อแดงเท่านั้น "ถ้าเดินหน้าแก้ทั้งฉบับจะมีปัญหา ถูกยื่นตีความอีกได้ ทำให้รัฐบาลล้มได้ แต่ถ้าแก้ไขเป็นรายมาตราก็ไม่มีปัญหา สามารถทยอยแก้ไขได้ ถ้าไม่แก้เป็นรายมาตราก็คงแก้รัฐธรรมนูญไม่ได้" คำพูดของ อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริง ที่สไกป์เข้ามาในที่ประชุมพรรคเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา อธิบายถึงเหตุผลที่ต้องเปลี่ยนวิธีการแก้รัฐธรรมนูญจากแบบยกร่างใหม่ทั้ง ฉบับมาเป็นแบบรายมาตรา หากจำได้ "ทักษิณ" เคยพูดผ่านเวทีชุมนุมของคนเสื้อแดงที่โบนันซ่า เขาใหญ่ ปลายปีที่แล้วว่า การจะให้คนออกมาใช้สิทธิลงประชามติให้ได้เกินครึ่ง เพื่อผลักดันแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับเป็นเรื่อง "หมู" แต่ถึงวันนี้แสดงให้เห็นแล้วว่า "ไม่ใช่" จากที่คิดจะแก้รัฐธรรมนูญแบบม้วนเดียวจบ โดยให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ขึ้นมายกร่าง "ทักษิณ" จึงต้องเปลี่ยนแนวทางมาเป็นแก้รายมาตรา การแก้รัฐธรรมนูยทั้งฉบับโดย ส.ส.ร. แม้จะอ้างว่าไม่มีใครบงการ ส.ส.ร.ทั้ง 99 คนได้ แต่รูปแบบที่มาของ ส.ส.ร.ที่มาจากการเลือกตั้งจังหวัดละคน และการคัดเลือกที่ดำเนินการโดยประธานรัฐสภาก็ถูกมองว่าเสียงข้างมากของ ส.ส.ร.น่าจะเป็นคนสายรัฐบาล การทำอะไรมัก "ได้อย่างใจ" ย่อมมีคนมองว่าเป้าหมายสูงสุดในการแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับคงหนีไม่พ้นการ "ตัด" มาตรา 309 ออกไปจากรัฐธรรมนูญที่น่าจะเป็น "ประตู" ไปสู่การ "ล้างมลทิน" ให้ทักษิณ "มาตรา 309" ซึ่งเป็นบทเฉพาะกาลแนบท้ายรัฐธรรมนูญ 2550 ที่ระบุว่า "บรรดาการใดๆ ที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 ว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าวไม่ว่าก่อนหรือหลังวันประกาศ ใช้รัฐธรรมนูญนี้ให้ถือว่าการนั้นและการกระทำนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้" ตราบใดที่มาตรา 309 ยังไม่ถูกตัดออกแสดงว่าการแก้รัฐธรรมนูญตามเป้าหมายยังไม่สำเร็จ เพราะแก้ไขหรือยกเลิก มาตรา 309 สำเร็จ จะทำให้การกระทำใดๆ อันเกิดขึ้นหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่ประกาศโดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ถูกยกเลิกไปโดยปริยายและย่อมจะเป็นการปลดล็อกช่วยเหลือ ทักษิณ ให้หลุดพ้นจากพันธนาการคดีความต่างๆ เหมือนที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตไว้ การเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราครั้งนี้มีประเด็นน่าสนใจ 2 เรื่องคือ "ผู้เสนอแก้ไข" และ "หัวใจ" ในการเสนอแก้ไข เรื่องแรก คือ "ผู้เสนอแก้ไข" ได้ปรับใหม่จากเดิมที่ "คนในปีกรัฐบาล" เป็นผู้เสนอแก้ไข แต่ครั้งนี้มีส.ว.มาเป็นแนวร่วมด้วย คนแรกคือ "ดิเรก ถึงฝั่ง" ส.ว.นนทบุรี ซึ่งเคยจะลงชิงตำแหน่งประธานวุฒิสภา แต่ภายหลังหลีกทางให้ "นิคม ไวยรัชพานิช" ส.ว.ที่ถูกมองว่ามีสายสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาลอีกคนได้ตำแหน่งไป และส.ว.อีกคนที่เสนอแก้รัฐธรรมนูญ คือ "ประสิทธิ์ โพธสุธน" ส.ว. สุพรรณบุรี พี่ชาย "ประภัตร โพธสุธน" อดีตส.ส.และอดีตรัฐมนตรีของพรรคชาติไทยที่สนิทแนบแน่นกับทักษิณมายาวนาน โดย ส.ส.รัฐบาลเสนอแก้ไขเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวุฒิสภา คือ ที่มาและวาระของ ส.ว. และให้ ส.ว.เป็นคนเสนอเกี่ยวกับเรื่องยุบพรรค เรื่องอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ และมาตรา 190 ที่เกี่ยวกับการทำสัญญากับต่างประเทศ เพื่อตัดข้อครหาเรื่องการเสนอแก้ไขในประเด็นที่เป็นผลประโยชน์ขัดกัน แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกมองว่าเป็นการเสนอแก้ รัฐธรรมนูญแบบแลกผลประโยชน์กัน คือ ส.ว.เสนอมาตราที่รัฐบาลต้องการ และรัฐบาลเสนอประเด็นที่ ส.ว.ต้องการ "จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์" ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า การแก้ไขให้ส.ว.สามารถลงรับสมัครเลือกตั้งได้ติดต่อกัน จากเดิมที่ต้องเว้นวรรค 5 ปีก่อนที่จะลงรับสมัครใหม่อีกครั้ง ตรงนี้ชัดเจนว่า เป็นผลประโยชน์ต่างตอบแทน ที่ส.ส.และส.ว.ร่วมเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ สอดคล้องกับมีเสียงจากพรรครัฐบาลที่เปิดเผยถึงกรอบเวลาการแก้รัฐธรรมนูญ ครั้งนี้จะให้แล้วเสร็จภายในปลายปีนี้ เพื่อให้ทันการเลือกตั้งส.ว.ที่จะมีขึ้นในปีหน้า ก็ยิ่งตอกย้ำเรื่องที่ถูกมองเป็น "ผลประโยชน์ต่างตอบแทน" อีกเรื่อง คือ "หัวใจ" ในการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ที่สำคัญที่สุดน่าจะเป็นการเสนอแก้ไขมาตรา 68 สาระสำคัญคือ การยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้พิจารณาสั่งยุบพรรคกรณีบุคคลหรือพรรคนั้นกระทำ การที่เป็นการล้มล้างการปกครอง ต้องยื่นผ่านอัยการสูงสุดก่อน จะยื่นตรงมาที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้ เรื่องนี้เป็นปัญหากับพรรคเพื่อไทยชัดเจน หลังจากพรรคเคยถูกศาลรัฐธรรมนูญเบรกเรื่องการยกร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับว่า ควรทำประชามติ ซึ่งเป็นการวินิจฉัยหลังจากมีคนไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ วิเคราะห์ถึงเป้าหมายการแก้ไขมาตรา 68 ไว้ว่า "อาจดูเหมือนเป็นเพียงการลดช่องทางของประชาชนที่จะไปฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อมาดูกรอบของที่มาที่ไปของเหตุการณ์ต่างๆ ว่า การใช้มาตรานี้ก็คือเป็นการหยุดยั้ง หรือระงับกระบวนการของการรื้อรัฐธรรมนูญทั้งฉบับมาก่อนหน้านี้ ก็ทำให้เราวิเคราะห์กันว่า ถ้าผ่านตามที่แก้ไขครั้งนี้คงมีความพยายามที่จะหยิบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ขึ้นที่ค้างอยู่ในสภามาพิจารณาใหม่ อาจนำไปสู่การยกมือโหวตผ่านวาระ 3 และนำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับก็ได้" เรื่อง "ยุบพรรค" ก็เป็นอีกเรื่องสำคัญของการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราครั้งนี้ เพราะพรรคเพื่อไทยมองว่าเรื่องนี้เป็นเหมือน "หอกข้างแคร่" ที่ฝ่ายตรงข้ามหยิบขึ้นมาเล่นงานเมื่อไรก็ได้ และแม้จะเริ่มชินกับการถูกยุบพรรค หลังจากโดนยุบมา 2 รอบและยังสามารถกลับมายิ่งใหญ่ได้อีก แต่ก็ไม่ต้องการให้เกิดอีก เช่นที่ "ภูมิธรรม เวชยชัย" เลขาธิการพรรค เคยยอมรับตรงๆ ว่า ยังกลัวกับการยุบพรรค และบอกว่า "หากยุบพรรค ก็ต้องเริ่มต้นใหม่ เริ่มต้นใหม่บ่อยๆ ก็เหนื่อย" จับตาว่า "ปฏิบัติการรุกคืบ" เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายของฝ่ายทักษิณจะสำเร็จหรือไม่? ขอบคุณ http://www.komchadluek.net/detail/20130325/154651/แก้รัฐธรรมนูญ:เกมรุกคืบกุมอำนาจ.ขอบคุณ html#.UU-3EDc7va5
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)