เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ
การร้องคัดค้านผลการเลือกตั้งผู้ว่าราชการ กทม. กลายเป็นวิวาทะระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ฟันธงว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ไม่โดนใบเหลืองก็ใบแดง และท้าให้ กกต.ยกคำร้องถ้ากล้าทำ ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โต้กลับว่าคำร้องเรียนไม่เข้าข่ายใบแดงแน่นอน
เป็นผลสืบเนื่องมาจากมติของ กกต.กทม. เห็นว่าคำร้อง 2 เรื่อง อาจเข้าข่าย เป็นการจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัคร ได้แก่ การที่นายศิริโชค โสภา ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ภาพรถหาเสียงพรรคเพื่อไทยและข้อความเผาบ้านเผาเมือง และ ดร.เสรี วงษ์มณฑา โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “ไม่เลือกเราเขามาแน่” และสนับสนุน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์
ปัญหาที่โต้เถียงกันก็คือคำร้องเรียนทั้งสองเป็นการ “จูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนน นิยมของผู้สมัครใด” เป็นความผิดกฎหมายการเลือกตั้งท้องถิ่นมาตรา 57 (5) คือเป็นการจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ให้ลงคะแนนเลือก ตั้งให้แก่ตนเองหรือผู้สมัครอื่น หรือให้งดเว้น การลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ผู้สมัครใด เป็นความผิดทำให้ผู้สมัครโดนใบเหลืองใบแดงหรือไม่?
กรณีนายศิริโชคอาจมีเหตุที่น่าพิจารณา เพราะเป็น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ แต่ก็ไม่ใช่การกระทำของผู้สมัครโดยตรง ส่วน ดร.เสรีไม่ใช่สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความคิดเห็นในฐานะนักวิชาการและประชาชนคนหนึ่งตามเสรีภาพในรัฐธรรมนูญ จึงไม่น่าจะเป็นความผิดและถ้าจะถือว่าเป็นความผิด ก็จะเป็นความผิดของ ดร.เสรีไม่เกี่ยวกับผู้สมัครใด
แต่ถ้าจะถือว่าการกระทำของ ดร.เสรีเป็นความผิดจะกลายเป็นเรื่องพิลึกกึกกือ เป็นเรื่องแปลกประหลาดมหัศจรรย์ สำหรับโลกประชาธิปไตย เพราะเป็นการห้ามไม่ให้แสดงความเห็น เพื่อสนับสนุนหรือไม่สนับสนุนผู้สมัครรับเลือกตั้ง สื่อมวลชนก็ต้องผิดทั้งหมด เพราะทำหน้าที่วิเคราะห์และวิจารณ์เกี่ยวกับคะแนนนิยมของผู้สมัครรวมทั้งโอกาสที่จะแพ้หรือชนะเลือกตั้ง
สำนักโพลทั้งหลายก็ต้องผิดหมด เพราะตั้งแต่เริ่มต้นรณรงค์หาเสียง จนถึงสัปดาห์สุดท้าย โพลทุกสำนักต่างฟันธงว่าผู้สมัครพรรคเพื่อไทยมีคะแนนนำ ทิ้งห่างผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดในคะแนนนิยมผู้สมัครอย่างชัดเจน เพราะผลการเลือกตั้งออกมาตรงกันข้ามจะถือว่าสำนักโพลจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือไม่? กกต.เคยตรวจสอบหรือไม่?
การฟันธงเรื่องนี้จึงต้องกระทำอย่างรอบคอบ เพราะเป็นการกล่าวหาผู้อื่นว่าทำผิดร้ายแรง มีโทษถึงจำคุก 1-10 ปี เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี และอาจเป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญมาตรา 45 ว่าด้วยเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน ฯลฯ กกต.เองก็อาจถูกกล่าวหาว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดรัฐธรรมนูญ อาจถูกยื่นถอดถอนหรือฟ้องศาลฎีกานักการเมือง.
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
การร้องคัดค้านผลการเลือกตั้งผู้ว่าราชการ กทม. กลายเป็นวิวาทะระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ฟันธงว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ไม่โดนใบเหลืองก็ใบแดง และท้าให้ กกต.ยกคำร้องถ้ากล้าทำ ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โต้กลับว่าคำร้องเรียนไม่เข้าข่ายใบแดงแน่นอน เป็นผลสืบเนื่องมาจากมติของ กกต.กทม. เห็นว่าคำร้อง 2 เรื่อง อาจเข้าข่าย เป็นการจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัคร ได้แก่ การที่นายศิริโชค โสภา ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ภาพรถหาเสียงพรรคเพื่อไทยและข้อความเผาบ้านเผาเมือง และ ดร.เสรี วงษ์มณฑา โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “ไม่เลือกเราเขามาแน่” และสนับสนุน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ปัญหาที่โต้เถียงกันก็คือคำร้องเรียนทั้งสองเป็นการ “จูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนน นิยมของผู้สมัครใด” เป็นความผิดกฎหมายการเลือกตั้งท้องถิ่นมาตรา 57 (5) คือเป็นการจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ให้ลงคะแนนเลือก ตั้งให้แก่ตนเองหรือผู้สมัครอื่น หรือให้งดเว้น การลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ผู้สมัครใด เป็นความผิดทำให้ผู้สมัครโดนใบเหลืองใบแดงหรือไม่? กรณีนายศิริโชคอาจมีเหตุที่น่าพิจารณา เพราะเป็น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ แต่ก็ไม่ใช่การกระทำของผู้สมัครโดยตรง ส่วน ดร.เสรีไม่ใช่สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความคิดเห็นในฐานะนักวิชาการและประชาชนคนหนึ่งตามเสรีภาพในรัฐธรรมนูญ จึงไม่น่าจะเป็นความผิดและถ้าจะถือว่าเป็นความผิด ก็จะเป็นความผิดของ ดร.เสรีไม่เกี่ยวกับผู้สมัครใด แต่ถ้าจะถือว่าการกระทำของ ดร.เสรีเป็นความผิดจะกลายเป็นเรื่องพิลึกกึกกือ เป็นเรื่องแปลกประหลาดมหัศจรรย์ สำหรับโลกประชาธิปไตย เพราะเป็นการห้ามไม่ให้แสดงความเห็น เพื่อสนับสนุนหรือไม่สนับสนุนผู้สมัครรับเลือกตั้ง สื่อมวลชนก็ต้องผิดทั้งหมด เพราะทำหน้าที่วิเคราะห์และวิจารณ์เกี่ยวกับคะแนนนิยมของผู้สมัครรวมทั้งโอกาสที่จะแพ้หรือชนะเลือกตั้ง สำนักโพลทั้งหลายก็ต้องผิดหมด เพราะตั้งแต่เริ่มต้นรณรงค์หาเสียง จนถึงสัปดาห์สุดท้าย โพลทุกสำนักต่างฟันธงว่าผู้สมัครพรรคเพื่อไทยมีคะแนนนำ ทิ้งห่างผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดในคะแนนนิยมผู้สมัครอย่างชัดเจน เพราะผลการเลือกตั้งออกมาตรงกันข้ามจะถือว่าสำนักโพลจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือไม่? กกต.เคยตรวจสอบหรือไม่? การฟันธงเรื่องนี้จึงต้องกระทำอย่างรอบคอบ เพราะเป็นการกล่าวหาผู้อื่นว่าทำผิดร้ายแรง มีโทษถึงจำคุก 1-10 ปี เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี และอาจเป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญมาตรา 45 ว่าด้วยเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน ฯลฯ กกต.เองก็อาจถูกกล่าวหาว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดรัฐธรรมนูญ อาจถูกยื่นถอดถอนหรือฟ้องศาลฎีกานักการเมือง. ขอบคุณ http://www.thairath.co.th/column/pol/editor/332561
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)