แจ้งกองปราบถูกตุ๋นทำธุรกิจสูญเงินกว่า 75 ล้าน

แสดงความคิดเห็น

ไฮโซรวมตัวโร่แจ้งกองปราบถูกเพื่อนสมัยเรียนหลอกทำร่วมหุ้นทำธุรกิจ สูญเงินกว่า 75 ล้าน

ไฮโซรวมตัวโร่แจ้งกองปราบถูกเพื่อนสมัยเรียนหลอกทำร่วมหุ้นทำธุรกิจ สูญเงินกว่า 75 ล้าน ผู้การกองปราบ เผยลักษณะคล้ายกับแชร์ลูกโซ่

ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) วันนี้( 10 มิ.ย.) นางณัฎฐ์รดา อมรสินสถิตย์ อายุ 35 ปี ที่ปรึกษาด้านการเงินบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง และกลุ่มผู้เสียหายซึ่งเป็นบรรดานักธุรกิจ รวม 14 รายพร้อมด้วยทนายความ เดินทางเข้าพบ พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ผบก.ป.เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับนายวชิระ พูลเพิ่ม อายุ 34 ปี นักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ และ นางพิมลพรรณ พูลเพิ่ม อายุ 32 ปี เจ้าของธุรกิจร้านหนังสือ สองสามีภรรยา หลังจากถูกทั้งคู่ หลอกลวงให้นำเงินไปร่วมลงทุนทำธุรกิจหลายประเภทอาทิ ร้านจำหน่ายแผ่นซีดี ธุรกิจคาร์แคร์ รวมทั้งธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ต่างๆรวมมูลค่าความเสียหายกว่า 75 ล้านบาท

นางณัฎฐ์รดา กล่าวว่า รู้จักกับนางพิมลพรรณ มาเป็นเวลากว่า 10 ปี เนื่องจากเคยเรียนมาด้วยกัน กระทั่งเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมานางพิมลพรรณ ได้ชักชวนให้ร่วมลงทุนทำธุรกิจร้านจำหน่ายแผ่นซีดี โดยวางโครงการต่างๆไว้เรียบร้อยแล้ว รวมทั้งด้านการบริหารงานซึ่งตนเพียงแต่นำเงินมาลงทุนด้วยเท่านั้นก็จะได้รับ ผลตอบแทน 10% จากเงินที่นำมาลงทุน โดยครั้งแรกเมื่อปี 2554 ได้นำเงินจำนวนหนึ่งมาลงทุนก็ได้รับเงินปันผลตอบแทนจริงจึงติดต่อกับลูกค้า บริษัทที่ทำงานอยู่ให้ร่วมนำเงินมาลงทุนธุรกิจดังกล่าวรวมเป็นเงิน 48 ล้านบาท ซึ่งระยะแรกก็ยังได้รับเงินตอบแทนเป็นรายเดือนแต่หลังจากนั้นก็เริ่มไม่ได้ รับเงิน

นางณัฏฐ์รดา กล่าวต่อว่า เมื่อเริ่มผิดสังเกตุว่าไม่มีการจ่ายเงินปันผลตอบแทนมาให้ จึงพยายามติดต่อกับนางพิมลพรรณ แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้โทรศัพท์ไปก็จะรับสายตลอด รวมทั้งติดต่อผ่านทางแอพลิเคชั่นสมาร์ทโฟนด้วย นอกจากนี้มาทราบภายหลังว่า นางพิมลพรรณ กับสามียังหลอกลวงผู้เสียหายอีกหลายรายให้ร่วมลงทุนในธุรกิจคาร์แคร์ซึ่ง อ้างว่ามีโครงการที่ได้จัดซื้อที่ดินไว้แล้ว หรือจะเป็นโครงการเปิดร้านหนังสือร้านอาหาร ฯลฯ ซึ่งบางรายนางพิมลพรรณ เคยพาไปดูธุรกิจที่เปิดในห้างสรรพสินค้าชื่อดังย่านลาดพร้าวทำให้ผู้เสียหาย ยิ่งหลงเชื่อว่าไม่น่าจะถูกหลอกลวง

ผู้เสียหายรายนี้ กล่าวอีกว่า หลังจากตรวจสอบข้อมูลต่างๆก็พบว่า นางพิมลพรรณ กับสามีจะหลอกให้ผู้เสียหายโอนเงินเข้าไปยังบัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขาสุขุมวิท 6 และมีการโอนเงินที่อ้างว่าเป็นปันผลผ่านบัญชีธนาคารของผู้เสียหายแต่ละราย โดยพบว่าน่าจะมีผู้เสียหายอีกหลายสิบราย ที่ยังไม่ได้เข้าแจ้งความดำเนินคดี รวมมูลค่าความเสียหายกว่า100 ล้านบาท

ด้าน พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวว่ากรณีที่เกิดขึ้นมีลักษณะคล้ายกับแชร์ลูกโซ่ซึ่งมีการหลอกลวงให้ผู้ เสียหายนำเงินมาร่วมลงทุนทำธุรกิจ และมีการบอกต่อๆ กันมีการนำเงินจากผู้เสียหายรายหนึ่งไปจ่ายให้กับอีกราย สลับกันไปมา จนที่สุดอาจประสบปัญหาหมุนเงินไม่ทันจึงติดค้างการจ่ายเงินคืนให้ผู้เสีย หาย เบื้องต้นได้มอบหมายให้ พ.ต.ท.ณัฐปกรณ์ ปัญญาดี พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ กก.1 บก.ป.สอบปากคำผู้เสียหายและรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆก่อนจะพิจารณาออกหมาย เรียกบุคคลทั้งสอง เข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนต่อไป โดยการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดฐาน ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ส่วนกรณีการตรวจสอบบัญชีธนาคารและเส้นทางการเงินก็จะประสานธนาคารเจ้าของ บัญชีในการตรวจสอบและหากมีการยักย้ายเงิน หรือการกระทำที่เข้าข่ายความผิดฐานฟอกเงิน ก็จะส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) ดำเนินการต่อไป

ขอบคุณ... http://www.dailynews.co.th/crime/210899 (ขนาดไฟล์: 167)

ที่มา: ข่าวสดออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 10 มิ.ย.56
วันที่โพสต์: 11/06/2556 เวลา 04:41:36 ดูภาพสไลด์โชว์ แจ้งกองปราบถูกตุ๋นทำธุรกิจสูญเงินกว่า 75 ล้าน

แสดงความคิดเห็น

รอตรวจสอบ
จัดฟอร์แม็ต ดูการแสดงผล

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

ยกเลิก

รายละเอียดกระทู้

ไฮโซรวมตัวโร่แจ้งกองปราบถูกเพื่อนสมัยเรียนหลอกทำร่วมหุ้นทำธุรกิจ สูญเงินกว่า 75 ล้าน ไฮโซรวมตัวโร่แจ้งกองปราบถูกเพื่อนสมัยเรียนหลอกทำร่วมหุ้นทำธุรกิจ สูญเงินกว่า 75 ล้าน ผู้การกองปราบ เผยลักษณะคล้ายกับแชร์ลูกโซ่ ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) วันนี้( 10 มิ.ย.) นางณัฎฐ์รดา อมรสินสถิตย์ อายุ 35 ปี ที่ปรึกษาด้านการเงินบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง และกลุ่มผู้เสียหายซึ่งเป็นบรรดานักธุรกิจ รวม 14 รายพร้อมด้วยทนายความ เดินทางเข้าพบ พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ผบก.ป.เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับนายวชิระ พูลเพิ่ม อายุ 34 ปี นักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ และ นางพิมลพรรณ พูลเพิ่ม อายุ 32 ปี เจ้าของธุรกิจร้านหนังสือ สองสามีภรรยา หลังจากถูกทั้งคู่ หลอกลวงให้นำเงินไปร่วมลงทุนทำธุรกิจหลายประเภทอาทิ ร้านจำหน่ายแผ่นซีดี ธุรกิจคาร์แคร์ รวมทั้งธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ต่างๆรวมมูลค่าความเสียหายกว่า 75 ล้านบาท นางณัฎฐ์รดา กล่าวว่า รู้จักกับนางพิมลพรรณ มาเป็นเวลากว่า 10 ปี เนื่องจากเคยเรียนมาด้วยกัน กระทั่งเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมานางพิมลพรรณ ได้ชักชวนให้ร่วมลงทุนทำธุรกิจร้านจำหน่ายแผ่นซีดี โดยวางโครงการต่างๆไว้เรียบร้อยแล้ว รวมทั้งด้านการบริหารงานซึ่งตนเพียงแต่นำเงินมาลงทุนด้วยเท่านั้นก็จะได้รับ ผลตอบแทน 10% จากเงินที่นำมาลงทุน โดยครั้งแรกเมื่อปี 2554 ได้นำเงินจำนวนหนึ่งมาลงทุนก็ได้รับเงินปันผลตอบแทนจริงจึงติดต่อกับลูกค้า บริษัทที่ทำงานอยู่ให้ร่วมนำเงินมาลงทุนธุรกิจดังกล่าวรวมเป็นเงิน 48 ล้านบาท ซึ่งระยะแรกก็ยังได้รับเงินตอบแทนเป็นรายเดือนแต่หลังจากนั้นก็เริ่มไม่ได้ รับเงิน นางณัฏฐ์รดา กล่าวต่อว่า เมื่อเริ่มผิดสังเกตุว่าไม่มีการจ่ายเงินปันผลตอบแทนมาให้ จึงพยายามติดต่อกับนางพิมลพรรณ แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้โทรศัพท์ไปก็จะรับสายตลอด รวมทั้งติดต่อผ่านทางแอพลิเคชั่นสมาร์ทโฟนด้วย นอกจากนี้มาทราบภายหลังว่า นางพิมลพรรณ กับสามียังหลอกลวงผู้เสียหายอีกหลายรายให้ร่วมลงทุนในธุรกิจคาร์แคร์ซึ่ง อ้างว่ามีโครงการที่ได้จัดซื้อที่ดินไว้แล้ว หรือจะเป็นโครงการเปิดร้านหนังสือร้านอาหาร ฯลฯ ซึ่งบางรายนางพิมลพรรณ เคยพาไปดูธุรกิจที่เปิดในห้างสรรพสินค้าชื่อดังย่านลาดพร้าวทำให้ผู้เสียหาย ยิ่งหลงเชื่อว่าไม่น่าจะถูกหลอกลวง ผู้เสียหายรายนี้ กล่าวอีกว่า หลังจากตรวจสอบข้อมูลต่างๆก็พบว่า นางพิมลพรรณ กับสามีจะหลอกให้ผู้เสียหายโอนเงินเข้าไปยังบัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขาสุขุมวิท 6 และมีการโอนเงินที่อ้างว่าเป็นปันผลผ่านบัญชีธนาคารของผู้เสียหายแต่ละราย โดยพบว่าน่าจะมีผู้เสียหายอีกหลายสิบราย ที่ยังไม่ได้เข้าแจ้งความดำเนินคดี รวมมูลค่าความเสียหายกว่า100 ล้านบาท ด้าน พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวว่ากรณีที่เกิดขึ้นมีลักษณะคล้ายกับแชร์ลูกโซ่ซึ่งมีการหลอกลวงให้ผู้ เสียหายนำเงินมาร่วมลงทุนทำธุรกิจ และมีการบอกต่อๆ กันมีการนำเงินจากผู้เสียหายรายหนึ่งไปจ่ายให้กับอีกราย สลับกันไปมา จนที่สุดอาจประสบปัญหาหมุนเงินไม่ทันจึงติดค้างการจ่ายเงินคืนให้ผู้เสีย หาย เบื้องต้นได้มอบหมายให้ พ.ต.ท.ณัฐปกรณ์ ปัญญาดี พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ กก.1 บก.ป.สอบปากคำผู้เสียหายและรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆก่อนจะพิจารณาออกหมาย เรียกบุคคลทั้งสอง เข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนต่อไป โดยการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดฐาน ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ส่วนกรณีการตรวจสอบบัญชีธนาคารและเส้นทางการเงินก็จะประสานธนาคารเจ้าของ บัญชีในการตรวจสอบและหากมีการยักย้ายเงิน หรือการกระทำที่เข้าข่ายความผิดฐานฟอกเงิน ก็จะส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) ดำเนินการต่อไป ขอบคุณ... http://www.dailynews.co.th/crime/210899

จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย

  1. เพิ่ม
  2. เพิ่ม ลบ
  3. เพิ่ม ลบ
  4. เพิ่ม ลบ
  5. เพิ่ม ลบ
  6. เพิ่ม ลบ
  7. เพิ่ม ลบ
  8. เพิ่ม ลบ
  9. เพิ่ม ลบ
  10. ลบ
เลือกการตกแต่งที่ต้องการ

ตกลง ยกเลิก

รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)

Waiting...