นักธุรกิจสาวรุ่นใหม่ ‘ณิชยา พหูสูตร’ ‘การสร้างธุรกิจ เราต้องรู้ทุกอย่างแบบ 360 องศา’

แสดงความคิดเห็น

หลังเรียนจบจากประเทศอังกฤษ แนน-ณิชยา เริ่มต้นทำงานตามสายอาชีพที่ร่ำเรียนมาในสถาบันการเงินชื่อดังในประ เทศไทย แต่ด้วยความเป็นคนชอบเดินทางท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่างๆ เพื่อเปิดโลกทัศน์ของตัวเองให้กว้างขึ้น ชอบทานและชอบทำอาหาร เรียกว่ามีเสน่ห์ปลายจวักพอตัว ในช่วงปี 2549เธอและเพื่อนๆ สังเกตว่าสนามบินดอนเมืองในขณะนั้นยังไม่มีร้านกาแฟรสชาติดีๆ บรรยากาศดีๆ เหมือนสนามบินหลายแห่งในต่างประเทศที่เธอเคยสัมผัสเปิดให้บริการ เมื่อคุยกับเพื่อนๆ ที่มีแนวคิดเดียวกัน พร้อมเสนอโครงการไปยังผู้บริหารสนามบิน ร้านกาแฟเล็กๆ แต่ใช้เมล็ดกาแฟระดับพรีเมียม Tate Cafe จึงเกิดขึ้น ภายใต้การบริหารของ บริษัท พิ้งค์ คาเฟ่ จำกัด

Tate Cafe ที่ดอนเมือง เริ่มต้นด้วยพื้นที่แค่ 10 ตร.ม. แม้จะเปิดให้บริการได้ไม่ถึงปี แต่สาวแนนบอกว่าสามารถคืนทุนและทำกำไรได้ในระยะเวลาอันสั้น พอสนามบินดอนเมืองปิดให้บริการ และย้ายไปเปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ได้พื้นที่ 112 ตร.ม. นอกจากกาแฟ ก็เพิ่มอาหารและเบเกอรี่เข้าไป จาก 3 หุ้นก็เพิ่มจำนวนหุ้นส่วนขึ้นโดยแบ่งกันดูแล ตามมาด้วยการเปิดตัวธุรกิจใหม่ในปี 2551 บริษัท จีบี เนเชอรัลบีท (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายไอศกรีมพรีเมียม แบรนด์ บี เนเชอรัล ซึ่งเป็นไอศกรีมซอฟท์ครีมสัญชาติญี่ปุ่น เมื่อปี 2551 ปัจจุบันมี 3 สาขา ได้แก่ สยามพารากอน, เซ็นทรัล ลาดพร้าว และเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า

แนน เล่าต่อว่า เมื่อธุรกิจทั้งสองบริษัทเติบโตขึ้น เช่นเดียวกับหุ้นส่วนที่มีอายุเพิ่มขึ้น มีภาระหน้าที่รับผิดชอบส่วนตัวที่มากขึ้น ทำให้ต้องลดบทบาทการบริหาร และมอบหน้าที่นั้นให้สาวแนนแต่เพียงผู้เดียว เมื่อได้รับความไว้วางใจจากหุ้นส่วนเธอให้ดูแลบริหารธุรกิจ เธอจึงตัดสินใจลาออกจากงานประจำเพื่อมาดูแลทั้งสองแบรนด์อย่างเต็ม ตัว ส่วนเพื่อนๆ ก็กลายเป็น Sleep Partner

“จากที่หุ้นส่วนแต่ละคนถนัดอะไรก็ดูแลด้านนั้นๆ ของธุรกิจไป ก็กลายเป็นว่าจากที่เคยรับผิดชอบเฉพาะการเงินไฟแนนซ์ แนนก็ต้องเข้าไปเรียนรู้ทุกเรื่องของธุรกิจ มันทั้งเหนื่อยแต่ก็สนุก อะไรที่ไม่เคยทำก็ได้ทำ ปัญหามีให้แก้ไข ปกติเป็นคนไม่ชอบการตลาดเท่าไร แต่พอรับหน้าที่ตรงนี้มา เราก็ต้องทำให้ได้เพื่อให้ธุรกิจที่สร้างมามันทำผลกำไรและเติบ โตต่อไปได้”

ดูเหมือนสาวเก่งคนนี้จะเป็นเจ้าแม่โปรเจกท์ตามประสา Working Women บวกกับลูกไม้หล่นใต้ต้นเมื่อธุรกิจหลักของครอบครัว คือ ธุรกิจก่อสร้าง เธอจึงหันมาสนใจในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และก็โชว์ความสามารถด้วยการสร้างธุรกิจโรงแรม ภายใต้ชื่อ All Seasons Hotel Bangkok VictoryMonument เมื่อปี 2554 ก่อนจะเปลี่ยนชื่อมาเป็น VIC 3 Bangkok Hotel ในปัจจุบัน พร้อมๆ กับเปิดแบรนด์ร้านอาหารใหม่ล่าสุด “เลิฟ อีท บิสโทร” (LOVE EAT BISTRO) ที่นับว่าเป็นแบรนด์ร้านอาหารแบรนด์แรกที่เธอเป็นเจ้าของแต่เพียง ผู้เดียว

“โรงแรมตอนที่เป็น All Seasons บริหารโดย Accor พอหมดสัญญา 1 ปี แนนตัดสินเปลี่ยนให้ Asscott มาบริหารโรงแรม แต่ปรากฏว่าเขาจะบริหารแต่ห้องพักอย่างเดียว ไม่ทำ F&B ด้วย แต่เราลงทุนไปกับส่วนนี้ก็เยอะพอสมควร แนนเลยตัดสินใจว่าในส่วนห้องอาหารนี่ แนนจะทำเองแล้วกัน ไม่เกี่ยวกับตัวโรงแรม คอนเซ็ปต์ของร้านไม่ว่าจะเมนูหรือการตกแต่ง ก็เป็นแบบที่แนนอยากได้ ที่แนนกล้าตัดสินใจทำเอง เพราะคิดว่าตัวเองมีประสบการณ์กับธุรกิจร้านอาหารมาพอสมควรแล้วจาก Tate Cafe และ บี เนเชอรัล ฉะนั้นก็น่าจะทำตรงนี้ได้สำเร็จเช่นกัน”

เมื่อตัดสินใจจะบริหารร้านอาหารด้วยเอง แนน บอกว่า เป็นเหตุการณ์ที่เธอยังจำได้ดี เพราะวันที่ 1 พฤษภาคม 2555 คือวันที่ส่วนของอาหารมาอยู่ในความรับผิดชอบของเธอเอง ปรากฏว่าพนักงานที่ทำงานตั้งแต่ยังเป็นเครือ Accor ต่างพากันลาออกโดยไม่บอกล่วงหน้า เหลือเพียงพ่อครัวเพียงคนเดียว แต่ร้านอาหารก็ยังต้องเปิดให้บริการแก่แขกที่มาใช้บริการห้องพัก อยู่ นั่นคือปัญหาเฉพาะหน้าที่เธอต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วนทุกอย่างจะต้อง The show must go on นั่นเอง

“พอรู้ว่าเหลือแค่พ่อครัวคนเดียว จะขึ้นป้ายว่าปิดให้บริการชั่วคราวก็ทำไม่ได้ สิ่งที่ทำได้ตอนนั้นคือ ยืมตัวพนักงานจาก Tate Cafe ที่สุวรรณภูมิมาก่อน แล้วก็ให้พนักงานนี่แหละช่วยหาคนมาทำงานเพื่อให้บริการลูกค้าได้ พนักงานบางคนบ้านไกล แนนก็เปิดห้องพักที่โรงแรมให้เขากัน คือเราไม่มีเวลาสติแตกในหัวคิดอย่างเดียวว่าครัวต้องเปิด ช่วงวิกฤติอยู่ประมาณสักหนึ่งสัปดาห์ มันก็ผ่านมาได้ จนเราคุยกับอินทีเรียดีไซน์และผู้รับเหมาเรียบร้อยกำหนดวันที่จะรีนู เวทร้านใหม่ แต่ก็ไม่ปิดบริการ แนนใช้วิธีลดเวลาให้บริการ เหลือแค่ช่วงเบรกฟาสต์อย่างเดียว พอหลังสิบเอ็ดโมงก็ปิด เพื่อให้ทีมช่างเข้าทำงาน ระหว่างนั้นก็ฟอร์มทีมพนักงานได้ใหม่จนครบทุกตำแหน่ง ทำอย่างนี้จนสามารถเปิดให้บริการ เลิฟ อีท บิสโทร ได้เต็มรูปแบบเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2555 ที่ผ่านมา”

“เลิฟ อีท บิสโทร” (LOVE EAT BISTRO) เป็นร้านอาหารที่ตั้งอยู่ภายในโรงแรมก็จริง แต่แนน ยืนยันว่า รสชาติไม่ใช่อาหารโรงแรม เพราะเธอวางคอนเซ็ปต์ของร้าน คือ โฮมเมด รสชาติเดียวกันกับครัวของบ้านเธอเอง เมนูอาหารทั้งไทย-เทศ ก็เป็นสูตรของครอบครัว ที่มีผู้การันตีความอร่อยมาแล้วมากมาย แม้แต่หัวหน้าพ่อครัวมากประสบการณ์คนปัจจุบันเธอยังส่งไปเทรนด์กับคุณ ย่ามาแล้ว ส่วนการตกแต่งร้านได้แรงบันดาลใจจากการเดินทางไปในสถานที่ท่อง เที่ยวต่างๆ ที่เธอชอบ เป็นการผสมผสานในสไตล์ที่เรียกว่า French Contemporary รวมทั้งของตกแต่งร้านก็เป็นสะสมส่วนตัวเช่นกัน

การที่ได้มีโอกาสทำธุรกิจของตัวเอง แนนบอกว่าก็เปรียบเหมือนการปลูกต้นไม้ ที่เธอต้องเริ่มตั้งแต่การลงเมล็ดพันธุ์ ใส่ปุ๋ย รดน้ำ กำจัดศัตรูพืช เพื่อให้ต้นไม้ต้นนี้เจริญงอกงาม ออกดอกออกผล เก็บกินได้นั่นเอง

“มันทำให้แนนได้เรียนรู้เรื่องธุรกิจที่แท้จริงด้วยตัวเอง การเป็นสร้างธุรกิจขึ้นมาสักอย่าง เราต้องรู้ทุกอย่างแบบ 360 องศาจริงๆ แต่ถ้าแนนเรียนจบแล้วเข้าไปทำธุรกิจของครอบครัว ไปดูแลด้านไฟแนนซ์ แนนก็จะรู้แค่ไฟแนนซ์เท่านั้น เพราะงานอื่นๆ ก็มีคนรับผิดชอบอยู่แล้ว อีกอย่างการทำธุรกิจของตัวเอง เวลาที่เกิดปัญหาหรืออุปสรรค มันสอนให้เราเรียนรู้วิธีแก้ไข อย่างตอนที่ร้านอาหารเหลือแค่พ่อครัวคนเดียว ถ้าแนนไม่เคยผ่านประสบการณ์ที่ใกล้เคียงแบบนี้มาก่อนตอนเปิด Tate Cafe ที่สุวรรณภูมิคงสติแตก พอมันมีภูมิต้านทานแล้วทำให้เรารับมือกับวิกฤติที่เกิดขึ้นได้”

สาวแนน ทิ้งท้ายว่า ถึงอย่างไรเธอก็ต้องเข้าไปทำงานที่ ซินเท็ค อย่างแน่นอน เพราะมันคือธุรกิจที่เป็นหัวใจของครอบครัว “พหูสูตร” ทุกคน แต่ตอนนี้ขอสนุกกับธุรกิจส่วนตัว และยังมีไอเดียต่อยอดธุรกิจใหม่ๆ ในหัวอีกมากที่อยากทำ

ขอบคุณ http://www.ryt9.com/s/nnd/1647539

ที่มา: แนวหน้าออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 11 พ.ค.56
วันที่โพสต์: 11/05/2556 เวลา 03:26:08

แสดงความคิดเห็น

รายละเอียดกระทู้

แม้จะมีธุรกิจก่อสร้างของครอบครัว บริษัทซินเท็ค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ให้เข้าไปนั่งบริหาร แต่หลังจากเรียนจบด้านการเงินการบริหารความเสี่ยงการดำเนินงานและ กฎระเบียบจากประเทศอังกฤษ แนน-ณิชยา พหูสูตร ก็เลือกที่จะไปหาประสบการณ์ด้วยการเป็นลูกจ้างคนอื่นและเรียนรู้ การทำธุรกิจแบบ 360 องศา กับธุรกิจอันเกิดจากไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ด้วยสองมือของตัวเธอเอง หลังเรียนจบจากประเทศอังกฤษ แนน-ณิชยา เริ่มต้นทำงานตามสายอาชีพที่ร่ำเรียนมาในสถาบันการเงินชื่อดังในประ เทศไทย แต่ด้วยความเป็นคนชอบเดินทางท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่างๆ เพื่อเปิดโลกทัศน์ของตัวเองให้กว้างขึ้น ชอบทานและชอบทำอาหาร เรียกว่ามีเสน่ห์ปลายจวักพอตัว ในช่วงปี 2549เธอและเพื่อนๆ สังเกตว่าสนามบินดอนเมืองในขณะนั้นยังไม่มีร้านกาแฟรสชาติดีๆ บรรยากาศดีๆ เหมือนสนามบินหลายแห่งในต่างประเทศที่เธอเคยสัมผัสเปิดให้บริการ เมื่อคุยกับเพื่อนๆ ที่มีแนวคิดเดียวกัน พร้อมเสนอโครงการไปยังผู้บริหารสนามบิน ร้านกาแฟเล็กๆ แต่ใช้เมล็ดกาแฟระดับพรีเมียม Tate Cafe จึงเกิดขึ้น ภายใต้การบริหารของ บริษัท พิ้งค์ คาเฟ่ จำกัด Tate Cafe ที่ดอนเมือง เริ่มต้นด้วยพื้นที่แค่ 10 ตร.ม. แม้จะเปิดให้บริการได้ไม่ถึงปี แต่สาวแนนบอกว่าสามารถคืนทุนและทำกำไรได้ในระยะเวลาอันสั้น พอสนามบินดอนเมืองปิดให้บริการ และย้ายไปเปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ได้พื้นที่ 112 ตร.ม. นอกจากกาแฟ ก็เพิ่มอาหารและเบเกอรี่เข้าไป จาก 3 หุ้นก็เพิ่มจำนวนหุ้นส่วนขึ้นโดยแบ่งกันดูแล ตามมาด้วยการเปิดตัวธุรกิจใหม่ในปี 2551 บริษัท จีบี เนเชอรัลบีท (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายไอศกรีมพรีเมียม แบรนด์ บี เนเชอรัล ซึ่งเป็นไอศกรีมซอฟท์ครีมสัญชาติญี่ปุ่น เมื่อปี 2551 ปัจจุบันมี 3 สาขา ได้แก่ สยามพารากอน, เซ็นทรัล ลาดพร้าว และเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า แนน เล่าต่อว่า เมื่อธุรกิจทั้งสองบริษัทเติบโตขึ้น เช่นเดียวกับหุ้นส่วนที่มีอายุเพิ่มขึ้น มีภาระหน้าที่รับผิดชอบส่วนตัวที่มากขึ้น ทำให้ต้องลดบทบาทการบริหาร และมอบหน้าที่นั้นให้สาวแนนแต่เพียงผู้เดียว เมื่อได้รับความไว้วางใจจากหุ้นส่วนเธอให้ดูแลบริหารธุรกิจ เธอจึงตัดสินใจลาออกจากงานประจำเพื่อมาดูแลทั้งสองแบรนด์อย่างเต็ม ตัว ส่วนเพื่อนๆ ก็กลายเป็น Sleep Partner “จากที่หุ้นส่วนแต่ละคนถนัดอะไรก็ดูแลด้านนั้นๆ ของธุรกิจไป ก็กลายเป็นว่าจากที่เคยรับผิดชอบเฉพาะการเงินไฟแนนซ์ แนนก็ต้องเข้าไปเรียนรู้ทุกเรื่องของธุรกิจ มันทั้งเหนื่อยแต่ก็สนุก อะไรที่ไม่เคยทำก็ได้ทำ ปัญหามีให้แก้ไข ปกติเป็นคนไม่ชอบการตลาดเท่าไร แต่พอรับหน้าที่ตรงนี้มา เราก็ต้องทำให้ได้เพื่อให้ธุรกิจที่สร้างมามันทำผลกำไรและเติบ โตต่อไปได้” ดูเหมือนสาวเก่งคนนี้จะเป็นเจ้าแม่โปรเจกท์ตามประสา Working Women บวกกับลูกไม้หล่นใต้ต้นเมื่อธุรกิจหลักของครอบครัว คือ ธุรกิจก่อสร้าง เธอจึงหันมาสนใจในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และก็โชว์ความสามารถด้วยการสร้างธุรกิจโรงแรม ภายใต้ชื่อ All Seasons Hotel Bangkok VictoryMonument เมื่อปี 2554 ก่อนจะเปลี่ยนชื่อมาเป็น VIC 3 Bangkok Hotel ในปัจจุบัน พร้อมๆ กับเปิดแบรนด์ร้านอาหารใหม่ล่าสุด “เลิฟ อีท บิสโทร” (LOVE EAT BISTRO) ที่นับว่าเป็นแบรนด์ร้านอาหารแบรนด์แรกที่เธอเป็นเจ้าของแต่เพียง ผู้เดียว “โรงแรมตอนที่เป็น All Seasons บริหารโดย Accor พอหมดสัญญา 1 ปี แนนตัดสินเปลี่ยนให้ Asscott มาบริหารโรงแรม แต่ปรากฏว่าเขาจะบริหารแต่ห้องพักอย่างเดียว ไม่ทำ F&B ด้วย แต่เราลงทุนไปกับส่วนนี้ก็เยอะพอสมควร แนนเลยตัดสินใจว่าในส่วนห้องอาหารนี่ แนนจะทำเองแล้วกัน ไม่เกี่ยวกับตัวโรงแรม คอนเซ็ปต์ของร้านไม่ว่าจะเมนูหรือการตกแต่ง ก็เป็นแบบที่แนนอยากได้ ที่แนนกล้าตัดสินใจทำเอง เพราะคิดว่าตัวเองมีประสบการณ์กับธุรกิจร้านอาหารมาพอสมควรแล้วจาก Tate Cafe และ บี เนเชอรัล ฉะนั้นก็น่าจะทำตรงนี้ได้สำเร็จเช่นกัน” เมื่อตัดสินใจจะบริหารร้านอาหารด้วยเอง แนน บอกว่า เป็นเหตุการณ์ที่เธอยังจำได้ดี เพราะวันที่ 1 พฤษภาคม 2555 คือวันที่ส่วนของอาหารมาอยู่ในความรับผิดชอบของเธอเอง ปรากฏว่าพนักงานที่ทำงานตั้งแต่ยังเป็นเครือ Accor ต่างพากันลาออกโดยไม่บอกล่วงหน้า เหลือเพียงพ่อครัวเพียงคนเดียว แต่ร้านอาหารก็ยังต้องเปิดให้บริการแก่แขกที่มาใช้บริการห้องพัก อยู่ นั่นคือปัญหาเฉพาะหน้าที่เธอต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วนทุกอย่างจะต้อง The show must go on นั่นเอง “พอรู้ว่าเหลือแค่พ่อครัวคนเดียว จะขึ้นป้ายว่าปิดให้บริการชั่วคราวก็ทำไม่ได้ สิ่งที่ทำได้ตอนนั้นคือ ยืมตัวพนักงานจาก Tate Cafe ที่สุวรรณภูมิมาก่อน แล้วก็ให้พนักงานนี่แหละช่วยหาคนมาทำงานเพื่อให้บริการลูกค้าได้ พนักงานบางคนบ้านไกล แนนก็เปิดห้องพักที่โรงแรมให้เขากัน คือเราไม่มีเวลาสติแตกในหัวคิดอย่างเดียวว่าครัวต้องเปิด ช่วงวิกฤติอยู่ประมาณสักหนึ่งสัปดาห์ มันก็ผ่านมาได้ จนเราคุยกับอินทีเรียดีไซน์และผู้รับเหมาเรียบร้อยกำหนดวันที่จะรีนู เวทร้านใหม่ แต่ก็ไม่ปิดบริการ แนนใช้วิธีลดเวลาให้บริการ เหลือแค่ช่วงเบรกฟาสต์อย่างเดียว พอหลังสิบเอ็ดโมงก็ปิด เพื่อให้ทีมช่างเข้าทำงาน ระหว่างนั้นก็ฟอร์มทีมพนักงานได้ใหม่จนครบทุกตำแหน่ง ทำอย่างนี้จนสามารถเปิดให้บริการ เลิฟ อีท บิสโทร ได้เต็มรูปแบบเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2555 ที่ผ่านมา” “เลิฟ อีท บิสโทร” (LOVE EAT BISTRO) เป็นร้านอาหารที่ตั้งอยู่ภายในโรงแรมก็จริง แต่แนน ยืนยันว่า รสชาติไม่ใช่อาหารโรงแรม เพราะเธอวางคอนเซ็ปต์ของร้าน คือ โฮมเมด รสชาติเดียวกันกับครัวของบ้านเธอเอง เมนูอาหารทั้งไทย-เทศ ก็เป็นสูตรของครอบครัว ที่มีผู้การันตีความอร่อยมาแล้วมากมาย แม้แต่หัวหน้าพ่อครัวมากประสบการณ์คนปัจจุบันเธอยังส่งไปเทรนด์กับคุณ ย่ามาแล้ว ส่วนการตกแต่งร้านได้แรงบันดาลใจจากการเดินทางไปในสถานที่ท่อง เที่ยวต่างๆ ที่เธอชอบ เป็นการผสมผสานในสไตล์ที่เรียกว่า French Contemporary รวมทั้งของตกแต่งร้านก็เป็นสะสมส่วนตัวเช่นกัน การที่ได้มีโอกาสทำธุรกิจของตัวเอง แนนบอกว่าก็เปรียบเหมือนการปลูกต้นไม้ ที่เธอต้องเริ่มตั้งแต่การลงเมล็ดพันธุ์ ใส่ปุ๋ย รดน้ำ กำจัดศัตรูพืช เพื่อให้ต้นไม้ต้นนี้เจริญงอกงาม ออกดอกออกผล เก็บกินได้นั่นเอง “มันทำให้แนนได้เรียนรู้เรื่องธุรกิจที่แท้จริงด้วยตัวเอง การเป็นสร้างธุรกิจขึ้นมาสักอย่าง เราต้องรู้ทุกอย่างแบบ 360 องศาจริงๆ แต่ถ้าแนนเรียนจบแล้วเข้าไปทำธุรกิจของครอบครัว ไปดูแลด้านไฟแนนซ์ แนนก็จะรู้แค่ไฟแนนซ์เท่านั้น เพราะงานอื่นๆ ก็มีคนรับผิดชอบอยู่แล้ว อีกอย่างการทำธุรกิจของตัวเอง เวลาที่เกิดปัญหาหรืออุปสรรค มันสอนให้เราเรียนรู้วิธีแก้ไข อย่างตอนที่ร้านอาหารเหลือแค่พ่อครัวคนเดียว ถ้าแนนไม่เคยผ่านประสบการณ์ที่ใกล้เคียงแบบนี้มาก่อนตอนเปิด Tate Cafe ที่สุวรรณภูมิคงสติแตก พอมันมีภูมิต้านทานแล้วทำให้เรารับมือกับวิกฤติที่เกิดขึ้นได้” สาวแนน ทิ้งท้ายว่า ถึงอย่างไรเธอก็ต้องเข้าไปทำงานที่ ซินเท็ค อย่างแน่นอน เพราะมันคือธุรกิจที่เป็นหัวใจของครอบครัว “พหูสูตร” ทุกคน แต่ตอนนี้ขอสนุกกับธุรกิจส่วนตัว และยังมีไอเดียต่อยอดธุรกิจใหม่ๆ ในหัวอีกมากที่อยากทำ ขอบคุณ http://www.ryt9.com/s/nnd/1647539